วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เปิดบันทึกลับ แผนสังหารฮิตเลอร์






20 กรกฎาคม 1944 อาจเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งหากว่ามันไม่ได้อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกำลังตึงเครียดถึงขีดสุด จนทำให้วันนี้กลายเป็นหน้าหนึ่งที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ แม้ว่าปฏิบัติการในครั้งนั้นจะไม่เสร็จสมบูรณ์ตามที่หวังก็ตาม

เช้าตรู่วันนั้นพันเอกสเตาเฟนแบร์ก และนายทหารคนสนิท แวร์เนอร์ เฮฟเทน เดินทางออกจากสนามบินทหารแห่งหนึ่งนอกกรุงเบอร์ลิน พร้อมกับระเบิดหนัก 4 ปอนด์ อาวุธที่จะใช้ในการสังหารฮิตเลอร์ผู้ซึ่งยังไม่ตื่นจากการหลับไหล




ขณะที่แฟรงคลิน ดี.รูสเวลท์ ประธานา ธิบดีแห่งสหรัฐ ซึ่งโดยสารอยู่บนรถไฟเฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน เพิ่งจะตื่นนอน ส่วนเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่บนเตียง ในห้องของอาคารแอนเน็กซ์ที่อยู่เหนือห้อง War Room ของคณะรัฐมนตรีบนถนนดาวนิ่ง และจอมพลโจเซฟ สตาลิน กำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้านพักในเมืองคุนท์เซโว่ นอกกรุงมอสโก

ระหว่างที่แผนการลอบสังหารฮิตเลอร์ค่อย ๆ ดำเนินไปตามที่วางไว้ ในช่วงสายฮิตเลอร์ก็ตื่นขึ้นเพื่อมารับฟังรายงานการทิ้งระเบิดในช่วงคืนที่ผ่านมา ก่อนที่ ดร.ธีโอดอร์ มอเรลล์ แพทย์ประจำตัวจะฉีดยากระตุ้นประจำวันให้


หลังจากนั้นไม่นานพันเอกสเตาเฟนแบร์กก็เดินทางมาถึงสนามบินทหารใกล้กับกองบัญชาการรบฝั่งตะวันออก ที่เรียกว่า โวล์ฟส์ ไลร์

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นทั้งจอมพลสตาลิน นายกรัฐมนตรีเชอร์ชิลล์ และประธานา ธิบดีรูสเวลท์ ต่างก็กำลังเตรียมวางแผนเพื่อจัดการกับเผด็จการอย่างฮิตเลอร์อยู่ โดยไม่รู้เลยว่านายทหารคนสนิทของฮิตเลอร์เองกำลังปฏิบัติการเพื่อพลิกสถานการณ์อันเลวร้ายอยู่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า


พันเอกสเตาเฟนแบร์กขอตัวที่จะไม่เข้าร่วมประชุมกับผู้บัญชาการสนามรบวิลเฮล์ม ไคเทล หลังจากเขามาแจ้งเรื่องการประชุมที่ถูกร่นให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมงให้ทราบ ก่อนจะขอให้ห้องพักผ่อนเพื่อร่วมกับแวร์เนอร์ ฟอน เฮฟ เทน นายทหารคนสนิทประกอบลูกระเบิดที่ลักลอบนำ เข้ามา

แต่ขณะที่ระเบิดลูกที่สองกำลังได้รับการประกอบขึ้นนั้น ทหารรับใช้ได้เข้ามาขัดจังหวะจนทำให้ทั้งคู่ประกอบระเบิดเสร็จสมบูรณ์เพียงลูกเดียว และนั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่วางเอาไว้




ฟอน เฮฟเทน เอาระเบิดลูกที่สองใส่ไว้ในกระเป๋าของเขาแทนที่จะใส่มันไว้ในกระเป๋ากับระเบิดลูกแรก ซึ่งจะถูกนำไปไว้ในที่ประชุมของฮิตเลอร์

แม้ว่าจะไปเข้าร่วมประชุมกับฮิตเลอร์ตามปกติ แต่พันเอกสเตาเฟนแบร์กก็ฉลาดพอที่จะไม่เป็นผู้วางระเบิดนั้นด้วยตัวเอง เพราะเขามีนายทหารคนสนิทอีกคนที่จะทำหน้าที่ในการนำมันไปวางไว้ใกล้ ๆ กับฮิตเลอร์ แผนการครั้งนี้คงจะสมบูรณ์หากว่าพันเอกไฮนซ์ บรันท์ไม่นำกระเป๋าปริศนาใบที่ว่าเคลื่อนย้ายไปจากที่ทางที่มันควรจะอยู่




ไม่กี่อึดใจหลังจากพันเอกสเตาเฟนแบร์กถูกฟอน เฮฟเทน เรียกออกมาจากกระท่อมประชุมสถานการณ์ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นสัญญาณเตือนภัยถูกเปิดเพื่อแจ้งการก่อการประทุษร้ายในค่าย พันเอกสเตาเฟนแบร์กพร้อมฟอน เฮฟเทน รีบรุดกลับไปยังสนามบินทหารและขึ้นเครื่องกลับทันที โดยไม่อยู่รอดูผลงานของตัวเองก่อน

การรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ทำให้ผู้นำฟาสซิสต์อย่าง เบนิโต้ มุสโสลินี เชื่อว่านั่นคือสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าชะตาได้ลิขิตให้ฮิตเลอร์นำนาซีเยอรมันไปสู่ชัยชนะ


ความเชื่อมั่นของพันเอกสเตาเฟนแบร์กที่ว่า ฮิตเลอร์ตายแล้ว กับข้อความที่ถูกแจ้งมาว่า "มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ฟูห์เรอร์ยังมีชีวิตอยู่" โดยไม่มีอะไรยืนยัน ทำให้พันเอกสเตาเฟนแบร์กตัดสินใจออกคำสั่งไปยังผู้บัญชาการกองทัพระดับภูมิภาคทุกนายว่า "ฮิตเลอร์ตายแล้วและกองทัพบกกำลังเข้ายึดอำนาจควบคุมรัฐ เจ้าหน้าที่พรรคนาซีและผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสทุกคนต้องถูกจับกุม"

นั่นเท่ากับเป็นการแสดงตัวว่าเขาคือผู้วางระเบิดลูกนั้น ขณะที่ฮิตเลอร์โทรฯ ไปหาโยเซฟ เกิบเบลส์ รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการพร้อมกับบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อพันเอกสเตาเฟนแบร์กส่งนายพลแอร์นสท์ เรเมอร์มาจับกุม เกิบเบลส์จึงแจ้งคำสั่งของฮิตเลอร์ที่ให้เรเมอร์ควบคุมกรุงเบอร์ลินและนำความสงบเรียบร้อยกลับคืนมา โดยตั้งไฮน์ริค ฮิมเลอร์ ผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสเป็นผู้บัญชาการกองทัพชั่วคราว




หลังจากนั้นมีการประกาศทางวิทยุเยอรมันเกี่ยวกับความพยายามในการลอบสังหารที่ล้มเหลว และฮิตเลอร์ยังมีชีวิตอยู่ เพียงเท่านั้นกบฏในเบอร์ลินก็วงแตก ผู้ร่วมสมคบคิดบางรายแปรพักตร์ ขณะที่ส่วนที่เหลือถูกจับกุมและตัดสินประหารชีวิตทันที

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (เยอรมัน: Adolf Hitler; 20 เมษายน ค.ศ. 1889 – 30 เมษายน ค.ศ. 1945) เป็นนักการเมืองสัญชาติออสเตรียโดยกำเนิด เป็นหัวหน้าพรรคชาตินิยมสังคมนิยมเยอรมัน และดำรงตำแหน่งผู้นำเผด็จการของนาซีเยอรมนี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 - 1945 และดำรงตำแหน่งมุขมนตรีเยอรมนี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 - 1945


วัยเด็ก
ในวัยเด็ก ฮิตเลอร์ไม่สนิทกับบิดานัก เนื่องจากบิดาเข้มงวดในระเบียบ และลงโทษรุนแรง แต่ฮิตเลอร์ในวัยเด็กเป็นคนที่เรียนเก่งมาก และเคร่งศาสนา จนเพื่อนๆ ไว้ใจให้เป็นหัวหน้า แต่เมื่อโตขึ้น ฮิตเลอร์เริ่มตามวิชาการไม่ทัน และผลการเรียนเริ่มแย่ลง เพื่อนๆ เลิกไว้ใจ ปลดฮิตเลอร์จากการเป็นหัวหน้า และบิดาก็ดุด่าฮิตเลอร์ เกรงว่าอนาคตฮิตเลอร์จะไม่สามารถเข้ารับราชการได้
แต่ฮิตเลอร์เองไม่อยากเป็นข้าราชการ เพราะฮิตเลอร์ชอบศิลปะ เขาอยากจะเป็นจิตรกรมากกว่าข้าราชการ สิ่งนี้ทำให้ฮิตเลอร์เปลี่ยนไปสนใจในศาสตร์ต่อสู้และศิลปะ ทำให้ผลการเรียนตกต่ำลงเรื่อยๆ จนใน ค.ศ. 1903 ฮิตเลอร์ก็ซ้ำชั้น ทำให้บิดาของเขาได้ไล่ฮิตเลอร์ออกจากบ้าน แต่ 3 วันให้หลังฮิตเลอร์ก็กลับมาที่บ้าน
ค.ศ. 1903 อาลัวส์ ฮิตเลอร์ (Alois Hitler) บิดาของอดอล์ฟ และครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เมืองลินซ์ (Linz) ภายหลังอาลัวส์เสียชีวิตลงในวัย 65 ปี
ค.ศ. 1907 คลารา ฮิตเลอร์ (Klara Hitler) มารดาของอดอล์ฟ เสียชีวิตลงด้วยวัย 47 ปี ด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งนั่น ทำให้ฮิตเลอร์หนีห่างออกจากอลัวส์ บิดาของเขา ไปอยู่กับป้าของเขาในเวียนนา
ค.ศ. 1909 ฮิตเลอร์ เข้าเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมัน

วัยผู้ใหญ่
ในระยะเวลาที่ฮิตเลอร์เป็นจิตรกรคนยาก เขาทำผลงานขายให้กับคนยิวคนหนึ่ง ทำให้เขามีขนมปังกินไปวันๆ ซึ่งฮิตเลอร์ชื่นชอบในงานศิลปะมาก เขาได้สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนสอนศิลปะแห่งหนึ่งในกรุงเวียนนา แต่ทว่าเขากลับถูกปฏิเสธเพราะไม่มีใบรับรองการศึกษาจากชั้นมัธยม และไม่นานฮิตเลอร์ได้พบกับความสุขที่เรียกว่าความรัก เธอเป็นหญิงที่สวยงามและมีฐานะดีพอสมควร เป็นส่วนที่ทำให้ฝ่ายชายเกรงและอายที่จะขอหล่อนแต่งงาน ขณะเดียวกันฝ่ายหญิงก็ไปคบกับหนุ่มชาวยิวและทั้งคู่ก็แต่งงานกัน ขณะที่ฮิตเลอร์เองก็ตกงานและในใจเขามีความแค้นอย่างมากในเวลานั้น (นี้อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ฮิตเลอร์เองจดจำและเก็บไว้ในใจ)

ค.ศ. 1914 ฮิตเลอร์ เข้าเป็นแนวหน้าของทัพบกเยอรมัน เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในตอนนั้นฮิตเลอร์ยังเป็นแค่พลทหารเขาอยู่ในหน่วยรบแนวหน้า เขาจะตายหลายครั้งแต่ก็รอดมาได้ ในไม่นานด้วยความกล้าของเขาทำให้เขาได้ติดยศสิบตรี (จากนี้จะเห็นได้ว่าจากคนที่เดิมทีไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ได้สร้างตัวเองด้วยความกล้า จนเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่)
ค.ศ. 1916 เศรษฐกิจเยอรมันตกต่ำจากภาวะสงคราม บ้านเมืองจลาจลวุ่นวาย ข้าวยากหมากแพง ซึ่งทำให้ความกดดันนั้น ทำให้ฮิตเลอร์เกิดอุดมการณ์รักชาติขึ้นมา และเริ่มปลุกระดมชาวบ้านให้สู้ และอุดมการณ์อันแรงกล้าของฮิตเลอร์ ทำให้ฮิตเลอร์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงแคบ และเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตการเมืองของฮิตเลอร์
ค.ศ. 1919 ฮิตเลอร์เข้าร่วมกับพรรคนาซี และในปีเดียวกันนี้ เยอรมันได้ทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งเยอรมันเสียเปรียบอย่างชัดเจน ทำให้อุดมการณ์ของฮิตเลอร์โดดเด่นขึ้นมา ฮิตเลอร์จึงเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และพรรคนาซี ก็เริ่มมีคนเยอรมันสมัครเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก
ค.ศ. 1921 ฮิตเลอร์ได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซี โดยพรรคนาซีในยุคฮิตเลอร์มีนโยบายต่อต้านชาวยิว และลัทธิสังคมนิยม
ค.ศ. 1923 ฮิตเลอร์พยายามก่อการปฏิวัติ แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกตัดสินจำคุก ในระหว่างจำคุกนี้ เขาได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า "การต่อสู้ของข้าพเจ้า" (Mein Kampf)
ค.ศ. 1924 ฮิตเลอร์ถูกปล่อยตัวออกมาก่อนกำหนด และเริ่มดำเนินกิจกรรมการเมืองต่อ
ค.ศ. 1927 ฮิตเลอร์ถูกสั่งห้ามปราศรัยในที่สาธารณะ
ค.ศ. 1932 ในการเลือกตั้งในเยอรมนี พรรคนาซีได้รับเลือก 230 ที่นั่ง จาก 608 ที่นั่งในสภาขณะนั้น ทำให้อำนาจฮิตเลอร์มีสูงขึ้น
ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์ยกเลิกสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญ และได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ค.ศ. 1934 ฮิตเลอร์ควบตำแหน่งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ประมุขของรัฐ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือที่เรียกกับว่า ผู้นำ หรือ ฟือเรอร์ (Fuhrer)
ค.ศ. 1935 เยอรมันก่อตั้งกองทัพอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการ
ค.ศ. 1939 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การนำของฮิตเลอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพเยอรมันและฝ่ายอักษะ (ญี่ปุ่นและอิตาลี) ได้ยึดครองยุโรปได้เกือบทั้งทวีป ฮิตเลอร์ได้ใช้นโยบายด้านเชื้อชาติ ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งทำให้ผู้บริสุทธิ์ตายไปอย่างน้อย 11 ล้านคน โดยเป็นชาวยิวถึง 6 ล้านคน ฮิตเลอร์เปลี่ยนแปลงเยอรมนีจากประเทศผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาเป็นมหาอำนาจของโลก แต่ฝ่ายพันธมิตร นำโดยประเทศแกนนำได้แก่
  • สหรัฐอเมริกา
  • สหภาพโซเวียต (รัสเซียในปัจจุบัน)
  • สหราชอาณาจักร
สามารถเอาชนะเยอรมนีลงได้ใน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์จบชีวิตโดยการยิงตัวตายพร้อมภรรยาชื่อ อีวา บราวน์ ซึ่งกินยาพิษเป็นการฆ่าตัวตาย ในหลุมหลบภัยเบอร์ลินเพื่อหนีการถูกจับเป็นเชลย อย่างไรก็ดี ไม่มีใครพบศพของฮิตเลอร์เลย จึงเชื่อว่า หน่วยชุทต์สตัฟเฟิล (เอสเอส) เผาศพของเขาเพื่อไม่ให้โซเวียตเอาไปแห่ประจานเฉกเช่นเบนิโต มุสโสลินี


ลักษณะนิสัยของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์

ตามข้อมูลฝั่งตะวันตก ฮิตเลอร์เป็นคนอารมณ์ร้าย และมักจะเกรี้ยวกราดอย่างไม่มีเหตุผล อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาขั้นต้นนี้ แพทย์ประจำตัวของเขายืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยความจริงแล้ว ฮิตเลอร์ไม่ใช่คนโมโหร้าย แต่หากมีใครเถียงนอกเรื่องข้างๆ คูๆ เขาก็จะตะเบ็งเสียงดังจนกลบเสียงคู่สนทนาหมดทุกคน
ฮิตเลอร์ชอบจูบมือผู้หญิง ชอบเลขานุการหญิงมากชนิดที่ว่า ถ้าพวกเธอป่วย เขาก็จะไปเยี่ยมเลยทีเดียว และเขาเป็นคนรักสะอาดมาก ชอบอาบน้ำวันละหลายๆ ครั้ง เสื้อผ้าส่วนตัวก็รักษาให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เครื่องแบบของเขาก็มีแค่ตรา "กางเขนเหล็ก" ที่ได้มาเมื่อครั้งเขาเป็นนายทหารเยอรมันเท่านั้น เขาไม่ชอบลูบสุนัขด้วยมือเปล่า หากลูบแล้วเขาก็รีบไปล้างมือโดยไว ฮิตเลอร์ยังชอบทำอะไรซ้ำๆ เช่น เวลาออกไปเดินเล่นก็ชอบเดินทางเดิมที่เคยเดิน ฮิตเลอร์เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก เขามีหนังสือมากถึง 16,000 เล่มซึ่งถูกเก็บไว้ในห้องสมุดส่วนตัว ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเกี่ยวกับสงคราม อัตชีวประวัติของบุคคลต่างๆ ศิลปะ และประวัติศาสตร์ ด้วยความที่เขาชอบอ่านหนังสือ เขาจึงสามารถบอกรูปร่างและลักษณะของเรือรบแบบต่างๆ และรอบรู้ในเรื่องยุทโธปกรณ์ของกองทัพเยอรมันเป็นอย่างดี และเขามีความจำที่เยี่ยมมาก สามารถจำได้ว่า เรือรบของราชนาวีเยอรมนี (Kreigsmarine) มีระวางขับน้ำกี่ตัน ปล่อยออกมาจากท่าเรือไหน วันที่ใด ติดอาวุธอะไรบ้าง ฯลฯ ฮิตเลอร์ยังเป็นคนรอบรู้ด้านอาวุธและยุทธวิธี จนไคเทล และเดอนิทซ์ชื่นชมเขาเลยทีเดียว นอกจากนี้ ฮิตเลอร์ยังเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ เช่น เขาบอกว่าจะฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทันทีเมื่อเป็นผู้นำ และเขาก็ฉีกจริงๆ เมื่อเขาได้เป็นผู้นำเยอรมนี
ฮิตเลอร์เป็นคนชอบศึกษาเรื่องเครื่องยนต์กลไก แต่ไม่คิดที่จะขับรถเอง ชอบเทคโนโลยี ชอบวิทยาศาสตร์ ชอบการคิดสร้างสรรค์สิ่งที่มหัศจรรย์ เป็นคนไม่ย่อท้อมีกำลังใจสูง ชอบจินตนาการ ชอบศิลปะ ชอบวาดรูป ชอบเล่นภาพสีน้ำมัน ไม่ชอบฟังวิทยุ แต่ชอบฟังเพลงในอุปรากรของริชาร์ด วากเนอร์ ชนิดที่เขายกวากเนอร์ให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาดนตรีเลยทีเดียว


ชีวิตส่วนตัวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์

จะเรียกว่า "ผู้นำที่ใครๆต้องการ" ก็ได้ เพราะว่าถึงแม้ฮิตเลอร์จะเป็นถึงผู้นำแห่งเยอรมนีที่มีอำนาจมาก แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตฟู่ฟ่าเลย ผิดกับผู้นำหลายๆ คน เช่น เขาดื่มชาชนิดที่สามัญชนดื่ม อาหารที่เขากินก็เป็นแบบที่สามัญชนกิน (อาหารจานโปรดของเขาคืออาหารกรรมกรแบบ "หม้อเดียว" ที่ประกอบด้วยถั่วเป็นส่วนมาก) บ้านของเขาก็ไม่ใช่บ้านที่ใหญ่โตหรูหราเช่นกัน ยกเว้นบ้านที่แบร์กเชสการ์เทิน ที่ตั้งอยู่บนเขาสูง 2,600 เมตร มีขนาดใหญ่มาก มีลิฟต์หุ้มเกราะสำหรับขึ้นลงอุโมงค์ 16 ตัว ที่พักใต้ดิน 3,000 คน มีห้องนอนอย่างดี มีอาวุธ กระสุน แชมเปญ ที่เก็บเอกสารมากมาย ซึ่งเป็นทั้งที่ประชุมลับและป้อมปราการไปในตัว
แม้แต่ในสนามรบ ฮิตเลอร์ก็ชอบที่จะอยู่กับทหาร อย่างเช่นตอนบัญชาการสนามอยู่แถบปรัสเซียตะวันออก แม้จะต้องนอนบนเตียงไม้ฉาแข็งๆ ผ้าห่มบางๆ เขาก็จะทำ เพราะเขาคิดว่าเป็นวิธีที่ทำให้เขารู้ถึงกำลังใจของทหารได้ดี สิ่งนี้จึงทำให้ทหารเยอรมันมีขวัญกำลังใจที่ดี ถึงกระนั้น ฮิตเลอร์เองก็ไม่บังคับให้ทหารคนอื่นๆต้องอยู่ลำบากเช่นเดียวกับเขา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นายพลบางคน เช่น เฮอร์มานน์ เกอริง ได้อยู่อย่างสุขสบาย
จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ อาจสรุปได้ว่า ฮิตเลอร์เป็นคนพอเพียง และมีน้ำใจกับคนอื่นในทางอ้อมอีกด้วย

Adolf Hitler ฮิตเลอร์


ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) จอมเผด็จการณ์ ผู้สังหารชาวยิวนับ ๖๐ ล้าน



กล่าวถึงผู้นำที่สังหารโหด สหาย มนุษย์ ด้วยกันเองอย่างมากมายมหาศาล เราคงมองข้ามท่านผู้นำคนนี้มิได้อย่างเด็ดขาด

ย้อนไปในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งแม้นว่าจะจบลงไปนาน ๖ ทศวรรษแล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่า วีรกรรมของคนผู้นี้มิเคยลืมเลือนไปจากชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะชาวยิว

เขาคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) อาชญากรสงครามอันดับ ๑ ของโลกที่สังหารมวลมนุษยชาติไม่ต่ำกว่า ๖๐ ล้านคน(เท่ากับประชากรไทยทั้งชาติอ่ะ)

อ่านวีรกรรมอย่างคร่าวๆ แค่นี้หลายท่านยังคงนึกภาพมิได้ใช่ไหม ถ้าเช่นนั้น เราตามไปดูเรื่องราวแบบทะลวง ล้วงลึกกันดีกว่าขอรับ

ประวัติของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ 

เขาเกิดในวันที่ ๒๐ เม.ย. ปี ค.ศ.๑๘๘๙ ที่เมืองเบราเนา ประเทศออสเตรีย (หลายท่านน่าจะสงสัย ทำไมชาวออสเตรียอย่างเขามาเป็นผู้นำของเยอรมันได้) มีบิดาชื่อ อาลัวส์ ฮิตเลอร์ และมารดาชื่อ คลาร่า ฮิตเลอร์


ค.ศ. 1903อาลัวส์ ฮิตเลอร์ (Alois Hitler) บิดาของอดอล์ฟ และครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เมืองลินซ์ (Linz) ภายหลังอาลัวส์เสียชีวิตลงในวัย ๖๕ ปี



ค.ศ. ๑๙๐๗ คลารา ฮิตเลอร์ (Klara Hitler) มารดาของอดอล์ฟ เสียชีวิตลงด้วยวัย ๔๗ ปี ด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งนั่น ทำให้ฮิตเลอร์หนีห่างออกจากอลัวส์ บิดาของเขา ไปอยู่กับป้าของเขาในเวียนนา


กล่าวถึง อาลัวส์ บิดาของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์นั้น เกิดมาในตระกูลของชาวนาที่มีชีวิตที่ขัดสนและแร้นแค้น แต่ทว่า ด้วยความที่เป็นคนที่ฉลาดเฉลียวรักความก้าวหน้าและทะเยอทะยาน ทำให้อาลัวส์ได้ก้าวขึ้นเป็นพนักงานเก็บภาษี และได้แต่งงานกับ คลอร่า มารดาของฮิตเลอร์ต่อจากนั้นนั่นเอง ซึ่งอายุอานามของทั้งคู่นั้นห่างเหินกันมากถึง ๒๓ ปี และมีลูกติดมา ๒ คน ก่อนที่จะมี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์


ฮิตเลอร์วัยเด็ก


แต่ทว่าหลังจาก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เกิดมาไม่นานนัก พวกพี่ๆ ซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาทั้งสองคนและ พี่ชายคนโตของ อดอล์ฟ พากันตายโดยที่บันทึกมิได้บอกเลยว่าทั้งสามคน เสียชีวิตไปด้วยอะไรกันแน่ บ้างก็ว่าเกิดจากภัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ หรืออะไรก็ตาม ทำให้ครอบครัวฮิตเลอร์ เหลือทายาทสืบสกุลอยู่เพียง ๒ คนนั่นคือ เขา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และ น้องสาวของเขา

บิดาของอดอร์ฟ ฮิตเลอร์เป็นบิดาที่เข้มงวดมากกับการเรียน ทำให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นเด็กที่ฉลาดและเป็นที่ประทับใจของนักเรียนและบรรดาอาจารย์ด้วยกัน ทำให้เขา ถูกยกเป็นตำเเหน่งหัวหน้ากลุ่มเด็ก
แต่ผลที่สุดแล้ว เมื่อนานวันเข้า วิชาในระดับสูงก็เริ่มยาก ทำให้เพื่อนๆของเขาเริ่มเสื่อมศรัทธากับหัวหน้าคนนี้เหลือเกิน และบิดาก็เริ่มที่จะลงไม้ลงมือหนักๆกับเขาแรงขึ้น เพราะเกรงว่า อดอล์ฟ บุตรชาย จะมิได้เข้ารับราชการ และเมื่อได้รับความกดดันมากขึ้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จึงหันไปสนใจในเรื่องของวิชาทหารและการต่อสู้

จนในที่สุด เมื่อฮิตเลอร์พบกับชายผู้หนึ่ง ทำให้อนาคตของเด็กหนุ่มคนนี้ต้องเปลี่ยนไป เมื่อเขาสนิทกับอาจารย์ของเขา นามว่า ลีโอโพลด์ พอตช์

ฮิตเลอร์ รัก เคารพ ชื่นชมอาจาย์มัธยมคนนี้มาก และอาจารย์มักจะเล่าถึงชัยชนะของเยอรมันที่เหนือฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ.๑๘๗๐ ทำให้ฮิตเลอร์ชื่นชอบเยอรมันเป็นมาก โดยเฉพาะ เขามีวีรบุรุษในดวงใจ นั่นคือ มีออตโต วอน บิสมาร์ก นายกรัฐมนตรีของอาณาจักรเยอรมนี

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นชายหนุ่มที่คิดว่า เขาเป็นนักศึกษาศิลปะที่เก่ง จึงได้ขอร้องบิดาของเขา ซึ่งต้องการให้เขาเรียนรู้ในเรื่องของวิชาคลังเพื่อเข้ารับราชการ ทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกันแทบบ้านแตก จนกระทั่งจบศึกพ่อ-ลูกด้วยการที่บิดาของเขาเสียชีวิตไป ทำให้ อดอร์ฟ ฮิตเลอร์ ได้โอกาสที่จะเรียนศิลปะสมใจ

อันเนื่องมาจากหลังจากที่บิดาเสียชีวิต ฮิตเลอร์ ได้เกียจคร้านกับการเรียน จนทำให้มารดาของเขายอมให้เขาออกจากโรงเรียนเพื่อไปเรียนศิลปะตามที่เขาอยากเรียน

ต่อมา เมื่ออายุ ๑๘ มรดกบำนาญจากบิดาตกไปอยู่ในมือของเขา ทำให้เขามุ่งหน้าไปกรุงเวียนนาเพื่อสอบเข้าเรียนวิชาศิลปะ

แต่ทว่า โชคร้ายของมวลมนุษยชาติ อันเนื่องมาจากทางสถาบันในกรุงเวียนนาไม่รับเขาเข้าไปเป็นนักศึกษา เพราะไม่มีใบรับรองการจบการศึกษาจากสถาบันเก่านั่นเอง

ความอับอายครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในการจุดชนวนให้ฮิตเลอร์เกลียดชาวยิวไปอีกหนึ่งขั้นประกอบกับเมื่อช่วงที่เขาอยู่กรุงเวียนนาในช่วง ๖ ปีหลังจากที่ เขาได้รู้ว่า ไม่มีทางเรียนศิลปะได้แน่นอน ข่าวร้ายอีกข่าวคือ มารดาของเขา คลาร่า ฮิตเลอร์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมจากการรักษาผิดๆ ของแพทย์ชาวยิวที่มารักษาคนจนๆ ที่ไม่ใช่มารดาของฮิตเลอร์

ฮิตเลอร์รักมารดาของเขาที่สุด แน่นอนว่าเขาย่อมเสียใจมาก และพกรูปของมารดาตลอดเวลา มีตำนานหนึ่งของฮิตเลอร์ว่าไว้ เมื่อฮิตเลอร์ยิงตัวตาย เขายังห้อยจี้ที่มีรูปมารดาของเขาอยู่

จนกระทั่ง เมื่อกรุงเวียนนาแห่งออสเตรีย ประกาศรับสมัครทหารเข้าประจำการ ฮิตเลอร์หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ เนื่องจากเกลียดประเทศของตนเองอยู่ลึกๆ

แต่กลับมาเข้ารับการเกณฑ์ใน เยอรมัน ชาติคู่รักคู่คิดแทนนอกจากนี้ยังชื่นชมอาณาจักรเยอรมนีที่เหนือกว่าออสเตรียมาตั้งแต่เด็ก จึงไปเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมนี ที่ขึ้นชื่อว่า ดุดันและน่าเกรงขามของกษัตริย์ ไกเซอร์


ขอข้ามช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ เลยนะขอรับ เนื่องจากเรื่องนี้อาจยาวและไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าใดนัก

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ จบลง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ย้ายไปอยู่มิวนิกและเริ่มวีถีแห่งทางการเมือง ซึ่งก็ลำบากพอดูสำหรับคนหนุ่มอย่างเขา จนกระทั่งปีค.ศ.๑๙๑๒ ก้าวขึ้นเป็น หัวหน้าพรรคนาซี (National Socialist German Worker'S Party) มีนโยบายต่อต้านชาวยิวและผู้นิยมลัทธิสังคมนิยม



การล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

หลังจากพรรคนาซี ได้ยึดครองอำนาจได้ทั้งหมด ฮิตเลอร์จึงก่อตั้ง หน่วย SS (Schutzstaffel) ขึ้นมาในปี ค.ศ.๑๙๒๗ โดยมี ไฮน์ริก ฮิมเลอร์(Heinrich Himmler) เป็นรองผู้นำ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจพอที่จะคานอำนาจกับหน่วยพิเศษ เกสตาโป ซึ่งเป็นหน่วยที่มีอำนาจที่สุดในสมัยนั้น แต่หน่วยงาน SS นี้พิเศษกว่าในด้านการซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อฮิตเลอร์เพียงผู้เดียวเท่านั้น

จนกระทั่งปี ค.ศ.๑๙๒๕ ฮิมเลอร์จึงได้เข้าเป็นผู้นำสูงสุดแทนฮิตเลอร์ในขณะที่ฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมันเรียบร้อยแล้ว


Heinrich Luitpold Himmler (๗ October ๑๙๐๐ – ๒๓ May ๑๙๔๕) ไฮน์ริค ฮิมเลอร์ หัวหน้าหน่วย SS ภายหลังถูกจับตัวได้กินยาฆ่าตัวตาย


ทว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป นี่คือจุดเริ่มแห่งฝันร้ายของมวลมนุษย์ที่เพิ่งจะเริ่มอีกครั้ง เพราะหลังจากที่ฮิตเลอร์เข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ เขาไม่รีรอเลยที่จะนำนโยบายที่เขามีมาใช้ นั่นคือ การกำจัดเชื้อชาติที่ไม่มีประโยชน์ต่อโลกใบนี้ นอกเหนือจากชาวอารยันที่มีเชื้อบริสุทธิ์และชาญฉลาดเท่านั้น

หมายความถึงชาวยิวที่มีหลายสัญชาติ ชาวสลาฟ และ ยิบซีต่างๆ ที่กระจายตามยุโรป กำลังจะถูกตามล่าซึ่งแน่นอน คณะรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านนาซีหรือกลุ่ม แอนตี้นาซี ออกมาเรียกร้อง โดยเฉพาะ หน่วย SA(Sturmabteilung) ซึ่งเป็นหน่วยคู่ขนานของหน่วยเอสเอส และมีทีท่าว่าจะต่อต้านนาซีตลอดเวลา

แต่ก็ได้แค่นั้น เพราะฮิตเลอร์ มีแผนการณ์ที่จะสังหารผู้นำระดับสูงซึ่งมีการประชุมกันระหว่างพรรค นาซีที่จัดขึ้นที่ *แบด เวสส์ (Bad Wiesse)* ในแคว้น บาวาเรีย โดยการกำจัดหน่วย SA ที่ถูกคุมตัวในคืนเดียวถึง ๖๕๐ศพ (อย่างไม่เป็นทางการ) จนเป็นที่จดจำกันในประวัติศาสตร์ของคนในเยอร์มันของคืน ราตรีแห่งการลอบสังหารอย่างไม่หยุดยั้ง หรือ Night of the long Knives นั่นคือการสังหารอย่างฉาบฉวยและไม่ปิดบังอะไรกันเลย

กล่าวคือ ก่อนที่ฮิตลอร์จะสังหารชาวยิว เขาทำลายล้างพลพรรคพวกเดียวกันกับเขาก่อน เพื่อทดสอบจิตใจของทหารในสังกัด SS ของเขา



เริ่มต้นฆาตกรรมระดับโลก

ปีค.ศ.๑๙๓๘ นาซีได้โอกาศในการสังหารชาวยิวกลุ่มแรกสุดนั่นคือ ชาวยิวเชื้อสายโปแลนด์ด้วยการนำชาวยิวเชื้อสายโปแลนด์ที่ถูกถอนสัญชาติจากโปแลนด์ไปที่ค่ายคาดู โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น

แต่เมื่อไปถึงชายแดนดังกล่าว นาซีได้โอกาศสาดกระสุนปืน เข้าใส่ทันทีในจำนวนชาวยิวที่มีถึง ๑๗,๐๐๐ คนต้องดับดิ้นไม่ว่าจะเป็นบุรุษเพศ สตรีเพศ เด็กและคนชราอย่างไร้ความปราณี

ต่อมาหลังจากการสังหารหมู่ครั้งแรกเมื่อปี ๑๙๓๘ ทหารคนสนิทของฮิตเลอร์ รีนฮาร์ด เฮย์ดริช ได้โอกาศทำลายล้างชาวยิวนอกจากชีวิตด้วยการอ้างถึงเด็กหนุ่มชาวยิวนายหนึ่งที่ลอบสังหารเอกอัครราชทูตของเยอรมัน แต่กลับพลาดไปสังหารผู้ช่วยของเขา ทำให้เหตุการณ์ในสถานทูตเกิดความวุ่นวายพักหนึ่ง แต่ก็สงบลงเพราะเด็กหนุ่มผูนั้นถูกจับกุมตัว

เมื่อเห็นว่านาซีกำลังถูกต่อต้านโดยชาวยิว เฮย์ดริช จึงสั่งให้มีการลอบวางเพลิงในโบสถ์ชาวยิวทั้งเยอรมัน โดยมีคำสั่งมิให้ช่วยดับไฟ แต่ถ้าหากไฟลามไปถึงบ้านของคนเยอรมันก็ให้ช่วยดับ ทำให้ประเมินค่าความเสียหายออกมาได้ถึง3ล้านปอนด์ในสมัยเมื่อ ๖๐ กว่าปีที่แล้ว แต่เมื่อนำมาเทียบกับสมัยนี้ อาจมหาศาลถึงหนึ่งหมื่นล้านบาทได้

นอกเหนือจากนั้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ยังเป็นผู้สนับสนุนให้มีการจัดตั้ง สำนักงานผู้อพยบเชื้อสายยิว (Office of Jewish Emigration) ขึ้นในกรุงเวียนนา-ออสเตรีย

โดยมีการเก็บเงินเพื่อรับรองความปลอดภัยของชาวยิวที่มา จ่ายทรัพย์สินเพื่อความปลอดภัยของตนเอง ซึ่งวิธีนี้สร้างความมั่งคั่งให้นาซีมหาศาลจน รินฮาร์ด เฮย์ดริช ขออนุมัติการสร้างสาขาที่2ในกรุงปราก ในประเทศ เชคโกสะโลวาเกียอีกแห่ง

นอกเหนือจากนั้น นาซียังได้ส่งกองกำลังไปรุกรานโปแลนด์อย่างบ้าคลั่งในหลังจากการปะทะกันในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๑๙๓๙ แม้ว่าฮิตเลอร์จะมิได้สั่งการก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นผลงานของเขาทั้งสิ้นด้วยหลักฐานจาก แบร์ลีน ดอกคูเมนท์ เซนเตอร์ (Berlin Document Center) แหล่งเก็บข้อมูลของเอสเอสและนาซีนั่นเอง และใช้เวลาเพียง ๓ วันก็สามารถควบคุมเมืองหลวสงของโปแลนด์ได้ไม่ยากเย็นนัก

เพราะนาซีมีรถถังที่สมัยนั้นถือว่าเป็นรถถังที่ดีที่ สุดของยุค ว่าด้วยความถึกและความแรงของปืนที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามต้องยอมศิโรราบ ป้อมปืนเป็นเหล็กที่นำมาหล่อเป็นชิ้นเดียวตัวรถมีการลาดเอียงที่ดี จนมิต้องสงสัยว่าทำไมนาซีถึงบุกเมืองหลวงง่ายดังพลิกฝ่ามือนัก

โครงการสร้างชาวอารยันสายเลือดบริสุทธิ์

เพื่อให้เยอรมันเต็มไปด้วยชาวอารยันที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริง ฮิตเลอร์ ออกคำสั่งให้ฮิมเลอร์ ริเริ่มการสร้างโครงการ * ผลิตสายเลือดชาวอารยันบริสุทธิ์*ที่มีชื่อว่า แลเบ็นสบอร์น (Lebensborn) ในปีค.ศ.๑๙๓๓

ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนให้ชาวเยอรมันมีลูกกันได้โดยที่ไม่ต้องคุมกำเนิด สนับสนุนการหย่าร้างกับคู่รักที่ไม่สามารถมีบุตรได้อย่างง่ายดาย เพื่อไปหาคู่อื่น เพื่อการขยายเผ่าพันธุ์อย่างเต็มที่ (ดูคล้ายกันกับยุคของจอมพล แปลก พิบูรณ์สงครามเลยขอรับ)

นอกจากนั้นยังมีการรับฝากเลี้ยงเด็ก โดยสร้างบ้านของโครงการแลเบ็นสบอร์น จนทั่วเยอรมัน โดยจะฝากให้รัฐบาลเลี้ยงหรือโอนกรรมสิทธิ์ให้รัฐบาลเลยก็ได้

นี่คือยุทธวิธีที่สร้างความอัปยศที่สุดอย่างหนึ่งของชาวเยอรมัน เพราะเด็กที่เกิดมาและอยู่ในความดูแลของรัฐบาลนาซี เมื่อมาถึงปัจจุบัน เด็กที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้อายุจะเฉลี่ยประมาณ ๖๐-๗๐ปี กลับต้องดำรงชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆเพื่อมิให้ชาวโลกรับรูว่าตนคือผลผลิตแห่งความอัปยศของนาซี กลุ่มบุคคลที่โลกตราหน้าและเกลียดชังที่สุด

นี่คือ ๑ ในเรื่องราวที่ไม่มีใครคาดถึงและเป็นผลกระทบมาจากแนวคิดแบบพิศดาร แต่เรื่องจริงๆนั่นก็คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กระหายที่จะครองโลก ให้ได้จริงๆ


ฮิตเลอร์กับค่ายมรณะ (Extermination Camp)
ช่วงทศวรรษที่ ๑๙๓๐-๑๙๔๐ ฮิตเลอร์ได้สร้างความวุ่นวายจนทั่วซะแล้ว มีการออกคำสั่งให้สร้างค่ายล้างเผ่าพันธุ์เพิ่มขึ้นอีก ๑๓ แห่งในเยอรมัน โดยแต่ละค่ายจะคิดค้นวิธีสังหารหมู่โดยทำเวลาได้เร็วและโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่มนุษย์จะคิดค้นได้


เอาชวิตซ์ คือ ค่ายที่โหดร้ายที่สุดแห่งหนึ่ง โดยค่ายนี้ มีการทรมานนักโทษแทบทุกทาง เช่น การนำชาวยิวไปรวมกันในห้องห้องหนึ่ง แต่เมื่อถึงเวลา พื้นข้างใต้ของห้องกลับเป็น เตาหลอม (Cremation Ovens) เมื่อเปิดออกมา ร่างของชาวยิวจะตกลงไปในเตาหลอมอันร้อนและไม่ต่างไปจากไฟนรก เพื่อทำการ ฌาปณกิจในช่วงเดียวกันทันที

บางครั้งก็รมแก็สพิษเพื่อให้ตายในทันทีโดยมิได้ส่งเสียงแต่อย่างไรโดยใช้กรดเหลว ซี คลอน บี (Zy klon-B) ซึ่งมีลักษณะเป็นประกายมาใช้สังหารหมู่ การรมแก็สพิษ นั้น สามารถสังหารชาวยิวได้ถึง ๒๐๐๐ คนในห้องนั้น โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๑๐-๒๐ นาทีเท่านั้น

ทำให้ค่าย เอาชวิสซ์ สามารถทำตัวเลขสังหารหมู่ได้มากกว่าค่าย เทร็บลิงก้าถึง ๑๐ เท่าจนเป็นที่ลือลั่นกันในหมู่ของนาซี นอกเหนือจากนั้น นาซียังมีรายได้พิเศษจากการตัดชิ้นส่วนและสิ่งของที่ติดอยู่ในร่างกายอันไร้ชีพของชาวยิว ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ จี้ ต่างหู และแหวนเพชร รวมไปถึงฟันทองที่ติดอยู่กับศพ จะถูกทำการเลาะออกอย่างเร็วไวทันที



นอกเหนือจากนั้น ศพของสตรีเพศชาวยิว จะถูกกล้อนผมอันยาวของพวกเธอและนำเส้นผมไปถักเป็นถุงเท้าสำหรับลูกเรือดำน้ำ ซึ่งนั้นคือ ลูกเรือของ เรือ ยู (U Boat)

เทรปลิงก้า ๑ ใน ๓ ค่ายที่โหดเป็นอันดับ ๒ รองจากเอาชวิตต์ แม้ว่าตัวเลขยอดสังหารจะน้อยก็ตามที แต่ขึ้นชื่อในวิธีการสังหารที่มุทะลุ โหดเหี้ยมที่สุดใน ๑๖ ค่ายในเยอรมัน ยกตัวอย่างเช่น การใช้ปืนยิงกรอกปากสดๆ ฟาดด้วยพานท้ายปืนและถีบจนตกลงไปในร่อง และที่โหดที่สุดคือการถลกหนังศีรษะชาวยิวและนำมาทำเป็นโคมไฟ

ค่ายมรณะ คาดู เป็นค่ายแห่งแรกของนาซีที่สร้างมายุคแรกๆ แต่ผู้ใช้กลุ่มแรกกลับเป็นชาวเยอรมันด้วยกันเองนั่นคือ กลุ่ม เอสเอ ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านลัทธินาซี จนถูกนำตัวมาสังหารในค่าย

วิธีการสังหารค่ายนี้กินเวลามากที่สุด แต่ก็ทรมานที่สุดเหมือนกัน เพราะค่ายนี้จะมีวิธีการสังหารนั่นคือ ปล่อยให้อดอาหารจนกระทั่งตายไปนั่นเอง

ความโหดร้ายอันเป็นตำนานสืบต่อมาของวงการแพทย์

ชาวยิวในค่ายนี้นอกจากจะต้องมาถูกสังหารแล้ว พวกเขามีหน้าที่เป็นหนูทดลองให้กับการแพทย์ของนาซีด้วย

แต่ละวันจะมีการทดลองอันน่าขยะแขยง ทั้งนี้เพื่อความต้องการของนาซีในการที่จะเป็นเจ้า ผู้ครองโลก

ด้วยการนำของ โจเซฟ เมงเกเล หัวหน้าแพทย์ของเอาชวิตซ์ จะทำการฉีดสารพิษเข้าที่ลูกนัยส์ตาของคนทดลองเพื่อดูผลว่าสารพิษจะทำปฏิกิริยาอย่างใด การนำศพของชาวยิว มาปะติด เพื่อสร้างมนุษย์ทดลองรายใหม่ หรือการฉีกสารกระตุ้นกล้ามเนื้อเพื่อให้มีกำลังมาก แต่กลับเกิดภาวะการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อฉับพลัน จนเกิดการระเบิดของกล้ามเนื้อซะได้ โดยการออกคำสั่งของ ไฮร์ริก ฮิมเลอร์ ผู้กระตือรือร้นในการรู้ความลับของร่างกายมนุษย์

แต่นอกเหนือจากนี้ ฮิตเลอร์ยังถือว่าเป็นคนที่น่าชื่นชมในเรื่องของการดูแลเอาใจใส่พรรกพวกนาซีเหมือนกัน เพราะแม้วาระสุดท้ายของเขา ฮิมเลอร์ก็ยังสร้างสวนสมุนไพร เพื่อนำไปใช้รักษาทหารนาซีที่ป่วยและบาดเจ็บอยู่ด้วย

จนกระทั่ง ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ.๑๙๔๔ ฮิตเลอร์หวิดที่จะสิ้นชื่อจากการถูกลอบสังหารด้วยผู้นำทหารระดับสูงอย่าง เค้าท์ คลอส วอน สตารฟ เฟนเบอร์ก (Count Claus Von Starffenberg) แต่กลับรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็ทำให้ฮิตเลอร์หมดความเชื่อถือในตัวของทหารนาซีด้วยกันนอกจาก ไฮร์ริก ฮิมเลอร์ ฮิตเลอร์จึงออกคำสั่งให้ฮิมเลอร์ สร้างกองกำลังสำรอง ดำรงตำแหน่ง ผู้นำ *กองทัพสำรอง*(Reserve Army) เป็นการเร่งด่วน


วาระสุดท้ายของอสูรสงครามนาซี


เมื่อกองทัพสัมพันธมิตร ยกพลขึ้นบกในวัน ดี-เดย์จนสามารถเอาชัยเหนือนาซีได้ โดยการประชิดเมืองเบอร์ลิน ฮิตเลอร์ซึ่งล่วงรู้ชะตากรรมของเขาเองจึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับเอวา บราวด์ ในวันที่ ๒๑ เมษายน ๑๙๔๕ และฆ่าตัวตายในเช้าของวันต่อมานั่นเอง

เอวา บราวด์ สตรีคนเดียวที่พิชิตใจท่านผู้นำได้แม้เพียงแค่วันเดียว


การตายของฮิตเลอร์สร้างความสับสนให้กองทัพนาซีนัก และอีกเพียงไม่นานนัก บรรดาผู้นำระดับสูงของเกสตาโปและเอสเอสต้องกระจัดกระจายไป

ไฮน์ริก ฮิมเลอร์ ซึ่งหลบหนีไปได้และปลอมชื่อเป็น ไฮน์ริก ฮิตซิงเกอร์และเข้าไปปะปนกับกลุ่มผู้อพยบ แต่ต่อมาก็ถูกจับได้ และฆ่าตัวตายก่อนที่เขาจะถูกตัดสินในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๑๙๔๕ หลังจากการมรณะกรรมของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้เป็นนายเพียง ๓๔ วันพอดี และร่างของ ฮิมเลอร์ถูกฝังแบบลวกๆในป่าใกล้เมือง ลูนเบิอร์ก (Luneburg) โดยไม่มีป้ายหลุมศพ เหมือนกับศพไร้ญาติอย่างไรอย่างนั้น

สุดท้ายกลับมีเพียงคนเดียวที่รอดไปได้ เขาคือ *อดอล์ฟ ไอค์เมินน์ * ซึ่งหลบหนีการจับกุมตัวถึง ๑๐ กว่าปี ตั้งแต่ปี ๑๙๔๕ โดยที่เขาถูกจับ แต่ก็ถูกปล่อยตัวเพราะเขาอ้างว่าเป็นนักบินในกองทัพของเยอรมัน ทำให้ไม่มีใครสนใจและปล่อยตัวไป
แต่ต่อมา เขาก็ถูกจับขึ้นศาลในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๑๙๖๑ โดยรัฐบาลยิวแจ้งข้อหาไว้ถึง ๑๕ คดีเช่น มีส่วนร่วมในการสังหารชาวยิวถึง ๖ ล้านคน สังหารยิปซีถึง ๑,๕๐๐ คน สั่งสังหารเด็กอีกกว่า ๑๐๐ ศพ ซึ่งแม้เขาจะแก้ต่างอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ตัวได้ ท้ายสุด คืนวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๑๙๖๑ เวลา ๒๓:๕๓ นาที อดอล์ฟ ไอค์เมินน์ ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ในเรือนจำ แรมเลห์ ซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงเทลอาวีฟ เมืองหลวงประเทศอิสราเอล

เป็นการจบฉากอสูรแห่งนาซีทั้งหมดด้วยความตายที่สาสมไหมขอรับ กับความตายของชาวยิวเรือน ๖ ล้านคน กระนั้นก็ตาม ผ่านไป ๖ ทศวรรษแล้ว เรื่องราวการสังหารโหดชาวยิวนั้นจะ ต้องตราตึงไว้กับโลกนี้ตลอดกาล

มีข่าวลือกันมาเมื่อหลายปีก่อนว่า มีการก่อตั้งหน่วย*นีโอ นาซี*ซึ่งว่ากันว่า ผู้ก่อตั้งคือฮิตเลอร์ ที่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เพราะฮิตเลอร์ที่ฆ่าตัวตายพร้อมอีวา บราวด์ คือตัวปลอม และฮิตเลอร์มีตัวปลอมอีกนับสิบๆคน

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากเขายังมีชีวิตอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของโลก เขาจะรับรู้ความแค้นบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะ ชาวยิว ชาวโปล คนผิวดำที่ถูกสังหารขณะที่นาซีเรืองอำนาจ พวกเขาจะคิดอย่างไร เราไม่สามารถรับรู้ได้

สุดท้ายแล้ว อสูรนาซีจักต้องล้มลงเพราะแพ้ภัยตนเอง
ภัยที่ทำให้กับคนอื่น ชาติอื่นจะต้องตราตึงชื่อของเขาว่าตลอดกาล
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แอนตี้ ไครส์แห่งอาณาจักร ไรซ์


ความรู้เพิ่มเติม

อาณาจักรไรซ์ที่ ๓ ตามที่ฮิตเลอร์ว่าไว้ คืออะไร หลายท่านคงสงสัย ข้าน้อยขอตอบให้ขอรับ

อาณาจักรไรซ์ ในโลกนี้ มีมา ๒ อาณาจักรแล้วนั่นคือ

๑ st Reich ก็คือ กรีกของ พระเจ้าอเล็กชานเดอมหาราช

๒ nd Reich คือ โรมันหรือ ออตโตมัน

การที่จะเป็นจักรวรรดิ ได้ก็ต้องมีอะไรเป็นสัญญลักษณ์เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ ดังนั้นฮิตเลอร์เลยบัญชาการให้ สถาปนิกทุกคนในกลุ่มนาซี ทำการออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับจักรวรรวดิใหม่และฮิตเลอร์ตั้งใจจะสร้าง ๓ rd Reich นั่นคือ เยอรมันนั่นเอง แต่กลับล่มสลายไปเร็วเกินคาด ด้วยเนื่องจากอาณาจักรไรซ์จะต้องมีการออกเเบบวัตถุและสถาปัตยากรรมให้คงทน และยืนยาวนับพันๆ ปี แต่นาซีกลับอยู่ได้เพียง ๖ ปีเท่านั้น

หัวหน้าสถาปนิกของนาซีนายนี้มีชื่อว่า อัลแบร์ต ชพีร์ (Albert Speer) ซึ่งเข้าเป็นสมาชิกพรรคนาซีเพราะเชื่อมั่นในตัว ฮิตเลอร์ และ อัลแบร์ต ชพีร์คนนี้ตอนเริ่มเกิดสงครามมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม รับภาระเร่งผลิตยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพทั้งหมด รวมทั้งการเกณฑ์ยิวมาเป็นแรงงานด้วย พอสงครามจบก็เลยโดนข้อหาหนักเข้าไปตอนที่พิจารณาคดีที่นูเรมแบร์ก ถูกขังที่คุก ชพันดู (spandau) อยู่ถึง ๒๐ ปีในฐานะอาชญากรสงคราม แล้วจึงถูกปล่อยตัวมา เขียนหนังสือไว้เล่มนึงด้วยชื่อ Inside The Third Reich หรือ อีกหนึ่งด้านของอาณาจักรไรซ์ที่ ๓


เหรียญกล้าหาญเหรียญแรกของฮิตเลอร์ที่ติดมาตั้งแต่ได้จวบจนวาระสุดท้าย

เปิดบันทึกลับ แผนสังหารฮิตเลอร์

Posted in By Cute 0 ความคิดเห็น






20 กรกฎาคม 1944 อาจเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งหากว่ามันไม่ได้อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกำลังตึงเครียดถึงขีดสุด จนทำให้วันนี้กลายเป็นหน้าหนึ่งที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ แม้ว่าปฏิบัติการในครั้งนั้นจะไม่เสร็จสมบูรณ์ตามที่หวังก็ตาม

เช้าตรู่วันนั้นพันเอกสเตาเฟนแบร์ก และนายทหารคนสนิท แวร์เนอร์ เฮฟเทน เดินทางออกจากสนามบินทหารแห่งหนึ่งนอกกรุงเบอร์ลิน พร้อมกับระเบิดหนัก 4 ปอนด์ อาวุธที่จะใช้ในการสังหารฮิตเลอร์ผู้ซึ่งยังไม่ตื่นจากการหลับไหล




ขณะที่แฟรงคลิน ดี.รูสเวลท์ ประธานา ธิบดีแห่งสหรัฐ ซึ่งโดยสารอยู่บนรถไฟเฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน เพิ่งจะตื่นนอน ส่วนเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่บนเตียง ในห้องของอาคารแอนเน็กซ์ที่อยู่เหนือห้อง War Room ของคณะรัฐมนตรีบนถนนดาวนิ่ง และจอมพลโจเซฟ สตาลิน กำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้านพักในเมืองคุนท์เซโว่ นอกกรุงมอสโก

ระหว่างที่แผนการลอบสังหารฮิตเลอร์ค่อย ๆ ดำเนินไปตามที่วางไว้ ในช่วงสายฮิตเลอร์ก็ตื่นขึ้นเพื่อมารับฟังรายงานการทิ้งระเบิดในช่วงคืนที่ผ่านมา ก่อนที่ ดร.ธีโอดอร์ มอเรลล์ แพทย์ประจำตัวจะฉีดยากระตุ้นประจำวันให้


หลังจากนั้นไม่นานพันเอกสเตาเฟนแบร์กก็เดินทางมาถึงสนามบินทหารใกล้กับกองบัญชาการรบฝั่งตะวันออก ที่เรียกว่า โวล์ฟส์ ไลร์

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นทั้งจอมพลสตาลิน นายกรัฐมนตรีเชอร์ชิลล์ และประธานา ธิบดีรูสเวลท์ ต่างก็กำลังเตรียมวางแผนเพื่อจัดการกับเผด็จการอย่างฮิตเลอร์อยู่ โดยไม่รู้เลยว่านายทหารคนสนิทของฮิตเลอร์เองกำลังปฏิบัติการเพื่อพลิกสถานการณ์อันเลวร้ายอยู่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า


พันเอกสเตาเฟนแบร์กขอตัวที่จะไม่เข้าร่วมประชุมกับผู้บัญชาการสนามรบวิลเฮล์ม ไคเทล หลังจากเขามาแจ้งเรื่องการประชุมที่ถูกร่นให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมงให้ทราบ ก่อนจะขอให้ห้องพักผ่อนเพื่อร่วมกับแวร์เนอร์ ฟอน เฮฟ เทน นายทหารคนสนิทประกอบลูกระเบิดที่ลักลอบนำ เข้ามา

แต่ขณะที่ระเบิดลูกที่สองกำลังได้รับการประกอบขึ้นนั้น ทหารรับใช้ได้เข้ามาขัดจังหวะจนทำให้ทั้งคู่ประกอบระเบิดเสร็จสมบูรณ์เพียงลูกเดียว และนั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่วางเอาไว้




ฟอน เฮฟเทน เอาระเบิดลูกที่สองใส่ไว้ในกระเป๋าของเขาแทนที่จะใส่มันไว้ในกระเป๋ากับระเบิดลูกแรก ซึ่งจะถูกนำไปไว้ในที่ประชุมของฮิตเลอร์

แม้ว่าจะไปเข้าร่วมประชุมกับฮิตเลอร์ตามปกติ แต่พันเอกสเตาเฟนแบร์กก็ฉลาดพอที่จะไม่เป็นผู้วางระเบิดนั้นด้วยตัวเอง เพราะเขามีนายทหารคนสนิทอีกคนที่จะทำหน้าที่ในการนำมันไปวางไว้ใกล้ ๆ กับฮิตเลอร์ แผนการครั้งนี้คงจะสมบูรณ์หากว่าพันเอกไฮนซ์ บรันท์ไม่นำกระเป๋าปริศนาใบที่ว่าเคลื่อนย้ายไปจากที่ทางที่มันควรจะอยู่




ไม่กี่อึดใจหลังจากพันเอกสเตาเฟนแบร์กถูกฟอน เฮฟเทน เรียกออกมาจากกระท่อมประชุมสถานการณ์ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นสัญญาณเตือนภัยถูกเปิดเพื่อแจ้งการก่อการประทุษร้ายในค่าย พันเอกสเตาเฟนแบร์กพร้อมฟอน เฮฟเทน รีบรุดกลับไปยังสนามบินทหารและขึ้นเครื่องกลับทันที โดยไม่อยู่รอดูผลงานของตัวเองก่อน

การรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ทำให้ผู้นำฟาสซิสต์อย่าง เบนิโต้ มุสโสลินี เชื่อว่านั่นคือสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าชะตาได้ลิขิตให้ฮิตเลอร์นำนาซีเยอรมันไปสู่ชัยชนะ


ความเชื่อมั่นของพันเอกสเตาเฟนแบร์กที่ว่า ฮิตเลอร์ตายแล้ว กับข้อความที่ถูกแจ้งมาว่า "มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ฟูห์เรอร์ยังมีชีวิตอยู่" โดยไม่มีอะไรยืนยัน ทำให้พันเอกสเตาเฟนแบร์กตัดสินใจออกคำสั่งไปยังผู้บัญชาการกองทัพระดับภูมิภาคทุกนายว่า "ฮิตเลอร์ตายแล้วและกองทัพบกกำลังเข้ายึดอำนาจควบคุมรัฐ เจ้าหน้าที่พรรคนาซีและผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสทุกคนต้องถูกจับกุม"

นั่นเท่ากับเป็นการแสดงตัวว่าเขาคือผู้วางระเบิดลูกนั้น ขณะที่ฮิตเลอร์โทรฯ ไปหาโยเซฟ เกิบเบลส์ รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการพร้อมกับบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อพันเอกสเตาเฟนแบร์กส่งนายพลแอร์นสท์ เรเมอร์มาจับกุม เกิบเบลส์จึงแจ้งคำสั่งของฮิตเลอร์ที่ให้เรเมอร์ควบคุมกรุงเบอร์ลินและนำความสงบเรียบร้อยกลับคืนมา โดยตั้งไฮน์ริค ฮิมเลอร์ ผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสเป็นผู้บัญชาการกองทัพชั่วคราว




หลังจากนั้นมีการประกาศทางวิทยุเยอรมันเกี่ยวกับความพยายามในการลอบสังหารที่ล้มเหลว และฮิตเลอร์ยังมีชีวิตอยู่ เพียงเท่านั้นกบฏในเบอร์ลินก็วงแตก ผู้ร่วมสมคบคิดบางรายแปรพักตร์ ขณะที่ส่วนที่เหลือถูกจับกุมและตัดสินประหารชีวิตทันที

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

Posted in By Cute 0 ความคิดเห็น

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (เยอรมัน: Adolf Hitler; 20 เมษายน ค.ศ. 1889 – 30 เมษายน ค.ศ. 1945) เป็นนักการเมืองสัญชาติออสเตรียโดยกำเนิด เป็นหัวหน้าพรรคชาตินิยมสังคมนิยมเยอรมัน และดำรงตำแหน่งผู้นำเผด็จการของนาซีเยอรมนี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 - 1945 และดำรงตำแหน่งมุขมนตรีเยอรมนี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 - 1945


วัยเด็ก
ในวัยเด็ก ฮิตเลอร์ไม่สนิทกับบิดานัก เนื่องจากบิดาเข้มงวดในระเบียบ และลงโทษรุนแรง แต่ฮิตเลอร์ในวัยเด็กเป็นคนที่เรียนเก่งมาก และเคร่งศาสนา จนเพื่อนๆ ไว้ใจให้เป็นหัวหน้า แต่เมื่อโตขึ้น ฮิตเลอร์เริ่มตามวิชาการไม่ทัน และผลการเรียนเริ่มแย่ลง เพื่อนๆ เลิกไว้ใจ ปลดฮิตเลอร์จากการเป็นหัวหน้า และบิดาก็ดุด่าฮิตเลอร์ เกรงว่าอนาคตฮิตเลอร์จะไม่สามารถเข้ารับราชการได้
แต่ฮิตเลอร์เองไม่อยากเป็นข้าราชการ เพราะฮิตเลอร์ชอบศิลปะ เขาอยากจะเป็นจิตรกรมากกว่าข้าราชการ สิ่งนี้ทำให้ฮิตเลอร์เปลี่ยนไปสนใจในศาสตร์ต่อสู้และศิลปะ ทำให้ผลการเรียนตกต่ำลงเรื่อยๆ จนใน ค.ศ. 1903 ฮิตเลอร์ก็ซ้ำชั้น ทำให้บิดาของเขาได้ไล่ฮิตเลอร์ออกจากบ้าน แต่ 3 วันให้หลังฮิตเลอร์ก็กลับมาที่บ้าน
ค.ศ. 1903 อาลัวส์ ฮิตเลอร์ (Alois Hitler) บิดาของอดอล์ฟ และครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เมืองลินซ์ (Linz) ภายหลังอาลัวส์เสียชีวิตลงในวัย 65 ปี
ค.ศ. 1907 คลารา ฮิตเลอร์ (Klara Hitler) มารดาของอดอล์ฟ เสียชีวิตลงด้วยวัย 47 ปี ด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งนั่น ทำให้ฮิตเลอร์หนีห่างออกจากอลัวส์ บิดาของเขา ไปอยู่กับป้าของเขาในเวียนนา
ค.ศ. 1909 ฮิตเลอร์ เข้าเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมัน

วัยผู้ใหญ่
ในระยะเวลาที่ฮิตเลอร์เป็นจิตรกรคนยาก เขาทำผลงานขายให้กับคนยิวคนหนึ่ง ทำให้เขามีขนมปังกินไปวันๆ ซึ่งฮิตเลอร์ชื่นชอบในงานศิลปะมาก เขาได้สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนสอนศิลปะแห่งหนึ่งในกรุงเวียนนา แต่ทว่าเขากลับถูกปฏิเสธเพราะไม่มีใบรับรองการศึกษาจากชั้นมัธยม และไม่นานฮิตเลอร์ได้พบกับความสุขที่เรียกว่าความรัก เธอเป็นหญิงที่สวยงามและมีฐานะดีพอสมควร เป็นส่วนที่ทำให้ฝ่ายชายเกรงและอายที่จะขอหล่อนแต่งงาน ขณะเดียวกันฝ่ายหญิงก็ไปคบกับหนุ่มชาวยิวและทั้งคู่ก็แต่งงานกัน ขณะที่ฮิตเลอร์เองก็ตกงานและในใจเขามีความแค้นอย่างมากในเวลานั้น (นี้อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ฮิตเลอร์เองจดจำและเก็บไว้ในใจ)

ค.ศ. 1914 ฮิตเลอร์ เข้าเป็นแนวหน้าของทัพบกเยอรมัน เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในตอนนั้นฮิตเลอร์ยังเป็นแค่พลทหารเขาอยู่ในหน่วยรบแนวหน้า เขาจะตายหลายครั้งแต่ก็รอดมาได้ ในไม่นานด้วยความกล้าของเขาทำให้เขาได้ติดยศสิบตรี (จากนี้จะเห็นได้ว่าจากคนที่เดิมทีไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ได้สร้างตัวเองด้วยความกล้า จนเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่)
ค.ศ. 1916 เศรษฐกิจเยอรมันตกต่ำจากภาวะสงคราม บ้านเมืองจลาจลวุ่นวาย ข้าวยากหมากแพง ซึ่งทำให้ความกดดันนั้น ทำให้ฮิตเลอร์เกิดอุดมการณ์รักชาติขึ้นมา และเริ่มปลุกระดมชาวบ้านให้สู้ และอุดมการณ์อันแรงกล้าของฮิตเลอร์ ทำให้ฮิตเลอร์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงแคบ และเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตการเมืองของฮิตเลอร์
ค.ศ. 1919 ฮิตเลอร์เข้าร่วมกับพรรคนาซี และในปีเดียวกันนี้ เยอรมันได้ทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งเยอรมันเสียเปรียบอย่างชัดเจน ทำให้อุดมการณ์ของฮิตเลอร์โดดเด่นขึ้นมา ฮิตเลอร์จึงเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และพรรคนาซี ก็เริ่มมีคนเยอรมันสมัครเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก
ค.ศ. 1921 ฮิตเลอร์ได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซี โดยพรรคนาซีในยุคฮิตเลอร์มีนโยบายต่อต้านชาวยิว และลัทธิสังคมนิยม
ค.ศ. 1923 ฮิตเลอร์พยายามก่อการปฏิวัติ แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกตัดสินจำคุก ในระหว่างจำคุกนี้ เขาได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า "การต่อสู้ของข้าพเจ้า" (Mein Kampf)
ค.ศ. 1924 ฮิตเลอร์ถูกปล่อยตัวออกมาก่อนกำหนด และเริ่มดำเนินกิจกรรมการเมืองต่อ
ค.ศ. 1927 ฮิตเลอร์ถูกสั่งห้ามปราศรัยในที่สาธารณะ
ค.ศ. 1932 ในการเลือกตั้งในเยอรมนี พรรคนาซีได้รับเลือก 230 ที่นั่ง จาก 608 ที่นั่งในสภาขณะนั้น ทำให้อำนาจฮิตเลอร์มีสูงขึ้น
ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์ยกเลิกสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญ และได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ค.ศ. 1934 ฮิตเลอร์ควบตำแหน่งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ประมุขของรัฐ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือที่เรียกกับว่า ผู้นำ หรือ ฟือเรอร์ (Fuhrer)
ค.ศ. 1935 เยอรมันก่อตั้งกองทัพอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการ
ค.ศ. 1939 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การนำของฮิตเลอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพเยอรมันและฝ่ายอักษะ (ญี่ปุ่นและอิตาลี) ได้ยึดครองยุโรปได้เกือบทั้งทวีป ฮิตเลอร์ได้ใช้นโยบายด้านเชื้อชาติ ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งทำให้ผู้บริสุทธิ์ตายไปอย่างน้อย 11 ล้านคน โดยเป็นชาวยิวถึง 6 ล้านคน ฮิตเลอร์เปลี่ยนแปลงเยอรมนีจากประเทศผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาเป็นมหาอำนาจของโลก แต่ฝ่ายพันธมิตร นำโดยประเทศแกนนำได้แก่
  • สหรัฐอเมริกา
  • สหภาพโซเวียต (รัสเซียในปัจจุบัน)
  • สหราชอาณาจักร
สามารถเอาชนะเยอรมนีลงได้ใน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์จบชีวิตโดยการยิงตัวตายพร้อมภรรยาชื่อ อีวา บราวน์ ซึ่งกินยาพิษเป็นการฆ่าตัวตาย ในหลุมหลบภัยเบอร์ลินเพื่อหนีการถูกจับเป็นเชลย อย่างไรก็ดี ไม่มีใครพบศพของฮิตเลอร์เลย จึงเชื่อว่า หน่วยชุทต์สตัฟเฟิล (เอสเอส) เผาศพของเขาเพื่อไม่ให้โซเวียตเอาไปแห่ประจานเฉกเช่นเบนิโต มุสโสลินี


ลักษณะนิสัยของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์

ตามข้อมูลฝั่งตะวันตก ฮิตเลอร์เป็นคนอารมณ์ร้าย และมักจะเกรี้ยวกราดอย่างไม่มีเหตุผล อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาขั้นต้นนี้ แพทย์ประจำตัวของเขายืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยความจริงแล้ว ฮิตเลอร์ไม่ใช่คนโมโหร้าย แต่หากมีใครเถียงนอกเรื่องข้างๆ คูๆ เขาก็จะตะเบ็งเสียงดังจนกลบเสียงคู่สนทนาหมดทุกคน
ฮิตเลอร์ชอบจูบมือผู้หญิง ชอบเลขานุการหญิงมากชนิดที่ว่า ถ้าพวกเธอป่วย เขาก็จะไปเยี่ยมเลยทีเดียว และเขาเป็นคนรักสะอาดมาก ชอบอาบน้ำวันละหลายๆ ครั้ง เสื้อผ้าส่วนตัวก็รักษาให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เครื่องแบบของเขาก็มีแค่ตรา "กางเขนเหล็ก" ที่ได้มาเมื่อครั้งเขาเป็นนายทหารเยอรมันเท่านั้น เขาไม่ชอบลูบสุนัขด้วยมือเปล่า หากลูบแล้วเขาก็รีบไปล้างมือโดยไว ฮิตเลอร์ยังชอบทำอะไรซ้ำๆ เช่น เวลาออกไปเดินเล่นก็ชอบเดินทางเดิมที่เคยเดิน ฮิตเลอร์เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก เขามีหนังสือมากถึง 16,000 เล่มซึ่งถูกเก็บไว้ในห้องสมุดส่วนตัว ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเกี่ยวกับสงคราม อัตชีวประวัติของบุคคลต่างๆ ศิลปะ และประวัติศาสตร์ ด้วยความที่เขาชอบอ่านหนังสือ เขาจึงสามารถบอกรูปร่างและลักษณะของเรือรบแบบต่างๆ และรอบรู้ในเรื่องยุทโธปกรณ์ของกองทัพเยอรมันเป็นอย่างดี และเขามีความจำที่เยี่ยมมาก สามารถจำได้ว่า เรือรบของราชนาวีเยอรมนี (Kreigsmarine) มีระวางขับน้ำกี่ตัน ปล่อยออกมาจากท่าเรือไหน วันที่ใด ติดอาวุธอะไรบ้าง ฯลฯ ฮิตเลอร์ยังเป็นคนรอบรู้ด้านอาวุธและยุทธวิธี จนไคเทล และเดอนิทซ์ชื่นชมเขาเลยทีเดียว นอกจากนี้ ฮิตเลอร์ยังเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ เช่น เขาบอกว่าจะฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทันทีเมื่อเป็นผู้นำ และเขาก็ฉีกจริงๆ เมื่อเขาได้เป็นผู้นำเยอรมนี
ฮิตเลอร์เป็นคนชอบศึกษาเรื่องเครื่องยนต์กลไก แต่ไม่คิดที่จะขับรถเอง ชอบเทคโนโลยี ชอบวิทยาศาสตร์ ชอบการคิดสร้างสรรค์สิ่งที่มหัศจรรย์ เป็นคนไม่ย่อท้อมีกำลังใจสูง ชอบจินตนาการ ชอบศิลปะ ชอบวาดรูป ชอบเล่นภาพสีน้ำมัน ไม่ชอบฟังวิทยุ แต่ชอบฟังเพลงในอุปรากรของริชาร์ด วากเนอร์ ชนิดที่เขายกวากเนอร์ให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาดนตรีเลยทีเดียว


ชีวิตส่วนตัวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์

จะเรียกว่า "ผู้นำที่ใครๆต้องการ" ก็ได้ เพราะว่าถึงแม้ฮิตเลอร์จะเป็นถึงผู้นำแห่งเยอรมนีที่มีอำนาจมาก แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตฟู่ฟ่าเลย ผิดกับผู้นำหลายๆ คน เช่น เขาดื่มชาชนิดที่สามัญชนดื่ม อาหารที่เขากินก็เป็นแบบที่สามัญชนกิน (อาหารจานโปรดของเขาคืออาหารกรรมกรแบบ "หม้อเดียว" ที่ประกอบด้วยถั่วเป็นส่วนมาก) บ้านของเขาก็ไม่ใช่บ้านที่ใหญ่โตหรูหราเช่นกัน ยกเว้นบ้านที่แบร์กเชสการ์เทิน ที่ตั้งอยู่บนเขาสูง 2,600 เมตร มีขนาดใหญ่มาก มีลิฟต์หุ้มเกราะสำหรับขึ้นลงอุโมงค์ 16 ตัว ที่พักใต้ดิน 3,000 คน มีห้องนอนอย่างดี มีอาวุธ กระสุน แชมเปญ ที่เก็บเอกสารมากมาย ซึ่งเป็นทั้งที่ประชุมลับและป้อมปราการไปในตัว
แม้แต่ในสนามรบ ฮิตเลอร์ก็ชอบที่จะอยู่กับทหาร อย่างเช่นตอนบัญชาการสนามอยู่แถบปรัสเซียตะวันออก แม้จะต้องนอนบนเตียงไม้ฉาแข็งๆ ผ้าห่มบางๆ เขาก็จะทำ เพราะเขาคิดว่าเป็นวิธีที่ทำให้เขารู้ถึงกำลังใจของทหารได้ดี สิ่งนี้จึงทำให้ทหารเยอรมันมีขวัญกำลังใจที่ดี ถึงกระนั้น ฮิตเลอร์เองก็ไม่บังคับให้ทหารคนอื่นๆต้องอยู่ลำบากเช่นเดียวกับเขา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นายพลบางคน เช่น เฮอร์มานน์ เกอริง ได้อยู่อย่างสุขสบาย
จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ อาจสรุปได้ว่า ฮิตเลอร์เป็นคนพอเพียง และมีน้ำใจกับคนอื่นในทางอ้อมอีกด้วย

Adolf Hitler ฮิตเลอร์

Posted in By Cute 0 ความคิดเห็น


ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) จอมเผด็จการณ์ ผู้สังหารชาวยิวนับ ๖๐ ล้าน



กล่าวถึงผู้นำที่สังหารโหด สหาย มนุษย์ ด้วยกันเองอย่างมากมายมหาศาล เราคงมองข้ามท่านผู้นำคนนี้มิได้อย่างเด็ดขาด

ย้อนไปในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งแม้นว่าจะจบลงไปนาน ๖ ทศวรรษแล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่า วีรกรรมของคนผู้นี้มิเคยลืมเลือนไปจากชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะชาวยิว

เขาคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) อาชญากรสงครามอันดับ ๑ ของโลกที่สังหารมวลมนุษยชาติไม่ต่ำกว่า ๖๐ ล้านคน(เท่ากับประชากรไทยทั้งชาติอ่ะ)

อ่านวีรกรรมอย่างคร่าวๆ แค่นี้หลายท่านยังคงนึกภาพมิได้ใช่ไหม ถ้าเช่นนั้น เราตามไปดูเรื่องราวแบบทะลวง ล้วงลึกกันดีกว่าขอรับ

ประวัติของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ 

เขาเกิดในวันที่ ๒๐ เม.ย. ปี ค.ศ.๑๘๘๙ ที่เมืองเบราเนา ประเทศออสเตรีย (หลายท่านน่าจะสงสัย ทำไมชาวออสเตรียอย่างเขามาเป็นผู้นำของเยอรมันได้) มีบิดาชื่อ อาลัวส์ ฮิตเลอร์ และมารดาชื่อ คลาร่า ฮิตเลอร์


ค.ศ. 1903อาลัวส์ ฮิตเลอร์ (Alois Hitler) บิดาของอดอล์ฟ และครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เมืองลินซ์ (Linz) ภายหลังอาลัวส์เสียชีวิตลงในวัย ๖๕ ปี



ค.ศ. ๑๙๐๗ คลารา ฮิตเลอร์ (Klara Hitler) มารดาของอดอล์ฟ เสียชีวิตลงด้วยวัย ๔๗ ปี ด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งนั่น ทำให้ฮิตเลอร์หนีห่างออกจากอลัวส์ บิดาของเขา ไปอยู่กับป้าของเขาในเวียนนา


กล่าวถึง อาลัวส์ บิดาของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์นั้น เกิดมาในตระกูลของชาวนาที่มีชีวิตที่ขัดสนและแร้นแค้น แต่ทว่า ด้วยความที่เป็นคนที่ฉลาดเฉลียวรักความก้าวหน้าและทะเยอทะยาน ทำให้อาลัวส์ได้ก้าวขึ้นเป็นพนักงานเก็บภาษี และได้แต่งงานกับ คลอร่า มารดาของฮิตเลอร์ต่อจากนั้นนั่นเอง ซึ่งอายุอานามของทั้งคู่นั้นห่างเหินกันมากถึง ๒๓ ปี และมีลูกติดมา ๒ คน ก่อนที่จะมี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์


ฮิตเลอร์วัยเด็ก


แต่ทว่าหลังจาก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เกิดมาไม่นานนัก พวกพี่ๆ ซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาทั้งสองคนและ พี่ชายคนโตของ อดอล์ฟ พากันตายโดยที่บันทึกมิได้บอกเลยว่าทั้งสามคน เสียชีวิตไปด้วยอะไรกันแน่ บ้างก็ว่าเกิดจากภัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ หรืออะไรก็ตาม ทำให้ครอบครัวฮิตเลอร์ เหลือทายาทสืบสกุลอยู่เพียง ๒ คนนั่นคือ เขา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และ น้องสาวของเขา

บิดาของอดอร์ฟ ฮิตเลอร์เป็นบิดาที่เข้มงวดมากกับการเรียน ทำให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นเด็กที่ฉลาดและเป็นที่ประทับใจของนักเรียนและบรรดาอาจารย์ด้วยกัน ทำให้เขา ถูกยกเป็นตำเเหน่งหัวหน้ากลุ่มเด็ก
แต่ผลที่สุดแล้ว เมื่อนานวันเข้า วิชาในระดับสูงก็เริ่มยาก ทำให้เพื่อนๆของเขาเริ่มเสื่อมศรัทธากับหัวหน้าคนนี้เหลือเกิน และบิดาก็เริ่มที่จะลงไม้ลงมือหนักๆกับเขาแรงขึ้น เพราะเกรงว่า อดอล์ฟ บุตรชาย จะมิได้เข้ารับราชการ และเมื่อได้รับความกดดันมากขึ้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จึงหันไปสนใจในเรื่องของวิชาทหารและการต่อสู้

จนในที่สุด เมื่อฮิตเลอร์พบกับชายผู้หนึ่ง ทำให้อนาคตของเด็กหนุ่มคนนี้ต้องเปลี่ยนไป เมื่อเขาสนิทกับอาจารย์ของเขา นามว่า ลีโอโพลด์ พอตช์

ฮิตเลอร์ รัก เคารพ ชื่นชมอาจาย์มัธยมคนนี้มาก และอาจารย์มักจะเล่าถึงชัยชนะของเยอรมันที่เหนือฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ.๑๘๗๐ ทำให้ฮิตเลอร์ชื่นชอบเยอรมันเป็นมาก โดยเฉพาะ เขามีวีรบุรุษในดวงใจ นั่นคือ มีออตโต วอน บิสมาร์ก นายกรัฐมนตรีของอาณาจักรเยอรมนี

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นชายหนุ่มที่คิดว่า เขาเป็นนักศึกษาศิลปะที่เก่ง จึงได้ขอร้องบิดาของเขา ซึ่งต้องการให้เขาเรียนรู้ในเรื่องของวิชาคลังเพื่อเข้ารับราชการ ทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกันแทบบ้านแตก จนกระทั่งจบศึกพ่อ-ลูกด้วยการที่บิดาของเขาเสียชีวิตไป ทำให้ อดอร์ฟ ฮิตเลอร์ ได้โอกาสที่จะเรียนศิลปะสมใจ

อันเนื่องมาจากหลังจากที่บิดาเสียชีวิต ฮิตเลอร์ ได้เกียจคร้านกับการเรียน จนทำให้มารดาของเขายอมให้เขาออกจากโรงเรียนเพื่อไปเรียนศิลปะตามที่เขาอยากเรียน

ต่อมา เมื่ออายุ ๑๘ มรดกบำนาญจากบิดาตกไปอยู่ในมือของเขา ทำให้เขามุ่งหน้าไปกรุงเวียนนาเพื่อสอบเข้าเรียนวิชาศิลปะ

แต่ทว่า โชคร้ายของมวลมนุษยชาติ อันเนื่องมาจากทางสถาบันในกรุงเวียนนาไม่รับเขาเข้าไปเป็นนักศึกษา เพราะไม่มีใบรับรองการจบการศึกษาจากสถาบันเก่านั่นเอง

ความอับอายครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในการจุดชนวนให้ฮิตเลอร์เกลียดชาวยิวไปอีกหนึ่งขั้นประกอบกับเมื่อช่วงที่เขาอยู่กรุงเวียนนาในช่วง ๖ ปีหลังจากที่ เขาได้รู้ว่า ไม่มีทางเรียนศิลปะได้แน่นอน ข่าวร้ายอีกข่าวคือ มารดาของเขา คลาร่า ฮิตเลอร์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมจากการรักษาผิดๆ ของแพทย์ชาวยิวที่มารักษาคนจนๆ ที่ไม่ใช่มารดาของฮิตเลอร์

ฮิตเลอร์รักมารดาของเขาที่สุด แน่นอนว่าเขาย่อมเสียใจมาก และพกรูปของมารดาตลอดเวลา มีตำนานหนึ่งของฮิตเลอร์ว่าไว้ เมื่อฮิตเลอร์ยิงตัวตาย เขายังห้อยจี้ที่มีรูปมารดาของเขาอยู่

จนกระทั่ง เมื่อกรุงเวียนนาแห่งออสเตรีย ประกาศรับสมัครทหารเข้าประจำการ ฮิตเลอร์หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ เนื่องจากเกลียดประเทศของตนเองอยู่ลึกๆ

แต่กลับมาเข้ารับการเกณฑ์ใน เยอรมัน ชาติคู่รักคู่คิดแทนนอกจากนี้ยังชื่นชมอาณาจักรเยอรมนีที่เหนือกว่าออสเตรียมาตั้งแต่เด็ก จึงไปเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมนี ที่ขึ้นชื่อว่า ดุดันและน่าเกรงขามของกษัตริย์ ไกเซอร์


ขอข้ามช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ เลยนะขอรับ เนื่องจากเรื่องนี้อาจยาวและไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าใดนัก

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ จบลง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ย้ายไปอยู่มิวนิกและเริ่มวีถีแห่งทางการเมือง ซึ่งก็ลำบากพอดูสำหรับคนหนุ่มอย่างเขา จนกระทั่งปีค.ศ.๑๙๑๒ ก้าวขึ้นเป็น หัวหน้าพรรคนาซี (National Socialist German Worker'S Party) มีนโยบายต่อต้านชาวยิวและผู้นิยมลัทธิสังคมนิยม



การล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

หลังจากพรรคนาซี ได้ยึดครองอำนาจได้ทั้งหมด ฮิตเลอร์จึงก่อตั้ง หน่วย SS (Schutzstaffel) ขึ้นมาในปี ค.ศ.๑๙๒๗ โดยมี ไฮน์ริก ฮิมเลอร์(Heinrich Himmler) เป็นรองผู้นำ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจพอที่จะคานอำนาจกับหน่วยพิเศษ เกสตาโป ซึ่งเป็นหน่วยที่มีอำนาจที่สุดในสมัยนั้น แต่หน่วยงาน SS นี้พิเศษกว่าในด้านการซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อฮิตเลอร์เพียงผู้เดียวเท่านั้น

จนกระทั่งปี ค.ศ.๑๙๒๕ ฮิมเลอร์จึงได้เข้าเป็นผู้นำสูงสุดแทนฮิตเลอร์ในขณะที่ฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมันเรียบร้อยแล้ว


Heinrich Luitpold Himmler (๗ October ๑๙๐๐ – ๒๓ May ๑๙๔๕) ไฮน์ริค ฮิมเลอร์ หัวหน้าหน่วย SS ภายหลังถูกจับตัวได้กินยาฆ่าตัวตาย


ทว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป นี่คือจุดเริ่มแห่งฝันร้ายของมวลมนุษย์ที่เพิ่งจะเริ่มอีกครั้ง เพราะหลังจากที่ฮิตเลอร์เข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ เขาไม่รีรอเลยที่จะนำนโยบายที่เขามีมาใช้ นั่นคือ การกำจัดเชื้อชาติที่ไม่มีประโยชน์ต่อโลกใบนี้ นอกเหนือจากชาวอารยันที่มีเชื้อบริสุทธิ์และชาญฉลาดเท่านั้น

หมายความถึงชาวยิวที่มีหลายสัญชาติ ชาวสลาฟ และ ยิบซีต่างๆ ที่กระจายตามยุโรป กำลังจะถูกตามล่าซึ่งแน่นอน คณะรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านนาซีหรือกลุ่ม แอนตี้นาซี ออกมาเรียกร้อง โดยเฉพาะ หน่วย SA(Sturmabteilung) ซึ่งเป็นหน่วยคู่ขนานของหน่วยเอสเอส และมีทีท่าว่าจะต่อต้านนาซีตลอดเวลา

แต่ก็ได้แค่นั้น เพราะฮิตเลอร์ มีแผนการณ์ที่จะสังหารผู้นำระดับสูงซึ่งมีการประชุมกันระหว่างพรรค นาซีที่จัดขึ้นที่ *แบด เวสส์ (Bad Wiesse)* ในแคว้น บาวาเรีย โดยการกำจัดหน่วย SA ที่ถูกคุมตัวในคืนเดียวถึง ๖๕๐ศพ (อย่างไม่เป็นทางการ) จนเป็นที่จดจำกันในประวัติศาสตร์ของคนในเยอร์มันของคืน ราตรีแห่งการลอบสังหารอย่างไม่หยุดยั้ง หรือ Night of the long Knives นั่นคือการสังหารอย่างฉาบฉวยและไม่ปิดบังอะไรกันเลย

กล่าวคือ ก่อนที่ฮิตลอร์จะสังหารชาวยิว เขาทำลายล้างพลพรรคพวกเดียวกันกับเขาก่อน เพื่อทดสอบจิตใจของทหารในสังกัด SS ของเขา



เริ่มต้นฆาตกรรมระดับโลก

ปีค.ศ.๑๙๓๘ นาซีได้โอกาศในการสังหารชาวยิวกลุ่มแรกสุดนั่นคือ ชาวยิวเชื้อสายโปแลนด์ด้วยการนำชาวยิวเชื้อสายโปแลนด์ที่ถูกถอนสัญชาติจากโปแลนด์ไปที่ค่ายคาดู โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น

แต่เมื่อไปถึงชายแดนดังกล่าว นาซีได้โอกาศสาดกระสุนปืน เข้าใส่ทันทีในจำนวนชาวยิวที่มีถึง ๑๗,๐๐๐ คนต้องดับดิ้นไม่ว่าจะเป็นบุรุษเพศ สตรีเพศ เด็กและคนชราอย่างไร้ความปราณี

ต่อมาหลังจากการสังหารหมู่ครั้งแรกเมื่อปี ๑๙๓๘ ทหารคนสนิทของฮิตเลอร์ รีนฮาร์ด เฮย์ดริช ได้โอกาศทำลายล้างชาวยิวนอกจากชีวิตด้วยการอ้างถึงเด็กหนุ่มชาวยิวนายหนึ่งที่ลอบสังหารเอกอัครราชทูตของเยอรมัน แต่กลับพลาดไปสังหารผู้ช่วยของเขา ทำให้เหตุการณ์ในสถานทูตเกิดความวุ่นวายพักหนึ่ง แต่ก็สงบลงเพราะเด็กหนุ่มผูนั้นถูกจับกุมตัว

เมื่อเห็นว่านาซีกำลังถูกต่อต้านโดยชาวยิว เฮย์ดริช จึงสั่งให้มีการลอบวางเพลิงในโบสถ์ชาวยิวทั้งเยอรมัน โดยมีคำสั่งมิให้ช่วยดับไฟ แต่ถ้าหากไฟลามไปถึงบ้านของคนเยอรมันก็ให้ช่วยดับ ทำให้ประเมินค่าความเสียหายออกมาได้ถึง3ล้านปอนด์ในสมัยเมื่อ ๖๐ กว่าปีที่แล้ว แต่เมื่อนำมาเทียบกับสมัยนี้ อาจมหาศาลถึงหนึ่งหมื่นล้านบาทได้

นอกเหนือจากนั้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ยังเป็นผู้สนับสนุนให้มีการจัดตั้ง สำนักงานผู้อพยบเชื้อสายยิว (Office of Jewish Emigration) ขึ้นในกรุงเวียนนา-ออสเตรีย

โดยมีการเก็บเงินเพื่อรับรองความปลอดภัยของชาวยิวที่มา จ่ายทรัพย์สินเพื่อความปลอดภัยของตนเอง ซึ่งวิธีนี้สร้างความมั่งคั่งให้นาซีมหาศาลจน รินฮาร์ด เฮย์ดริช ขออนุมัติการสร้างสาขาที่2ในกรุงปราก ในประเทศ เชคโกสะโลวาเกียอีกแห่ง

นอกเหนือจากนั้น นาซียังได้ส่งกองกำลังไปรุกรานโปแลนด์อย่างบ้าคลั่งในหลังจากการปะทะกันในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๑๙๓๙ แม้ว่าฮิตเลอร์จะมิได้สั่งการก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นผลงานของเขาทั้งสิ้นด้วยหลักฐานจาก แบร์ลีน ดอกคูเมนท์ เซนเตอร์ (Berlin Document Center) แหล่งเก็บข้อมูลของเอสเอสและนาซีนั่นเอง และใช้เวลาเพียง ๓ วันก็สามารถควบคุมเมืองหลวสงของโปแลนด์ได้ไม่ยากเย็นนัก

เพราะนาซีมีรถถังที่สมัยนั้นถือว่าเป็นรถถังที่ดีที่ สุดของยุค ว่าด้วยความถึกและความแรงของปืนที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามต้องยอมศิโรราบ ป้อมปืนเป็นเหล็กที่นำมาหล่อเป็นชิ้นเดียวตัวรถมีการลาดเอียงที่ดี จนมิต้องสงสัยว่าทำไมนาซีถึงบุกเมืองหลวงง่ายดังพลิกฝ่ามือนัก

โครงการสร้างชาวอารยันสายเลือดบริสุทธิ์

เพื่อให้เยอรมันเต็มไปด้วยชาวอารยันที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริง ฮิตเลอร์ ออกคำสั่งให้ฮิมเลอร์ ริเริ่มการสร้างโครงการ * ผลิตสายเลือดชาวอารยันบริสุทธิ์*ที่มีชื่อว่า แลเบ็นสบอร์น (Lebensborn) ในปีค.ศ.๑๙๓๓

ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนให้ชาวเยอรมันมีลูกกันได้โดยที่ไม่ต้องคุมกำเนิด สนับสนุนการหย่าร้างกับคู่รักที่ไม่สามารถมีบุตรได้อย่างง่ายดาย เพื่อไปหาคู่อื่น เพื่อการขยายเผ่าพันธุ์อย่างเต็มที่ (ดูคล้ายกันกับยุคของจอมพล แปลก พิบูรณ์สงครามเลยขอรับ)

นอกจากนั้นยังมีการรับฝากเลี้ยงเด็ก โดยสร้างบ้านของโครงการแลเบ็นสบอร์น จนทั่วเยอรมัน โดยจะฝากให้รัฐบาลเลี้ยงหรือโอนกรรมสิทธิ์ให้รัฐบาลเลยก็ได้

นี่คือยุทธวิธีที่สร้างความอัปยศที่สุดอย่างหนึ่งของชาวเยอรมัน เพราะเด็กที่เกิดมาและอยู่ในความดูแลของรัฐบาลนาซี เมื่อมาถึงปัจจุบัน เด็กที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้อายุจะเฉลี่ยประมาณ ๖๐-๗๐ปี กลับต้องดำรงชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆเพื่อมิให้ชาวโลกรับรูว่าตนคือผลผลิตแห่งความอัปยศของนาซี กลุ่มบุคคลที่โลกตราหน้าและเกลียดชังที่สุด

นี่คือ ๑ ในเรื่องราวที่ไม่มีใครคาดถึงและเป็นผลกระทบมาจากแนวคิดแบบพิศดาร แต่เรื่องจริงๆนั่นก็คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กระหายที่จะครองโลก ให้ได้จริงๆ


ฮิตเลอร์กับค่ายมรณะ (Extermination Camp)
ช่วงทศวรรษที่ ๑๙๓๐-๑๙๔๐ ฮิตเลอร์ได้สร้างความวุ่นวายจนทั่วซะแล้ว มีการออกคำสั่งให้สร้างค่ายล้างเผ่าพันธุ์เพิ่มขึ้นอีก ๑๓ แห่งในเยอรมัน โดยแต่ละค่ายจะคิดค้นวิธีสังหารหมู่โดยทำเวลาได้เร็วและโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่มนุษย์จะคิดค้นได้


เอาชวิตซ์ คือ ค่ายที่โหดร้ายที่สุดแห่งหนึ่ง โดยค่ายนี้ มีการทรมานนักโทษแทบทุกทาง เช่น การนำชาวยิวไปรวมกันในห้องห้องหนึ่ง แต่เมื่อถึงเวลา พื้นข้างใต้ของห้องกลับเป็น เตาหลอม (Cremation Ovens) เมื่อเปิดออกมา ร่างของชาวยิวจะตกลงไปในเตาหลอมอันร้อนและไม่ต่างไปจากไฟนรก เพื่อทำการ ฌาปณกิจในช่วงเดียวกันทันที

บางครั้งก็รมแก็สพิษเพื่อให้ตายในทันทีโดยมิได้ส่งเสียงแต่อย่างไรโดยใช้กรดเหลว ซี คลอน บี (Zy klon-B) ซึ่งมีลักษณะเป็นประกายมาใช้สังหารหมู่ การรมแก็สพิษ นั้น สามารถสังหารชาวยิวได้ถึง ๒๐๐๐ คนในห้องนั้น โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๑๐-๒๐ นาทีเท่านั้น

ทำให้ค่าย เอาชวิสซ์ สามารถทำตัวเลขสังหารหมู่ได้มากกว่าค่าย เทร็บลิงก้าถึง ๑๐ เท่าจนเป็นที่ลือลั่นกันในหมู่ของนาซี นอกเหนือจากนั้น นาซียังมีรายได้พิเศษจากการตัดชิ้นส่วนและสิ่งของที่ติดอยู่ในร่างกายอันไร้ชีพของชาวยิว ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ จี้ ต่างหู และแหวนเพชร รวมไปถึงฟันทองที่ติดอยู่กับศพ จะถูกทำการเลาะออกอย่างเร็วไวทันที



นอกเหนือจากนั้น ศพของสตรีเพศชาวยิว จะถูกกล้อนผมอันยาวของพวกเธอและนำเส้นผมไปถักเป็นถุงเท้าสำหรับลูกเรือดำน้ำ ซึ่งนั้นคือ ลูกเรือของ เรือ ยู (U Boat)

เทรปลิงก้า ๑ ใน ๓ ค่ายที่โหดเป็นอันดับ ๒ รองจากเอาชวิตต์ แม้ว่าตัวเลขยอดสังหารจะน้อยก็ตามที แต่ขึ้นชื่อในวิธีการสังหารที่มุทะลุ โหดเหี้ยมที่สุดใน ๑๖ ค่ายในเยอรมัน ยกตัวอย่างเช่น การใช้ปืนยิงกรอกปากสดๆ ฟาดด้วยพานท้ายปืนและถีบจนตกลงไปในร่อง และที่โหดที่สุดคือการถลกหนังศีรษะชาวยิวและนำมาทำเป็นโคมไฟ

ค่ายมรณะ คาดู เป็นค่ายแห่งแรกของนาซีที่สร้างมายุคแรกๆ แต่ผู้ใช้กลุ่มแรกกลับเป็นชาวเยอรมันด้วยกันเองนั่นคือ กลุ่ม เอสเอ ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านลัทธินาซี จนถูกนำตัวมาสังหารในค่าย

วิธีการสังหารค่ายนี้กินเวลามากที่สุด แต่ก็ทรมานที่สุดเหมือนกัน เพราะค่ายนี้จะมีวิธีการสังหารนั่นคือ ปล่อยให้อดอาหารจนกระทั่งตายไปนั่นเอง

ความโหดร้ายอันเป็นตำนานสืบต่อมาของวงการแพทย์

ชาวยิวในค่ายนี้นอกจากจะต้องมาถูกสังหารแล้ว พวกเขามีหน้าที่เป็นหนูทดลองให้กับการแพทย์ของนาซีด้วย

แต่ละวันจะมีการทดลองอันน่าขยะแขยง ทั้งนี้เพื่อความต้องการของนาซีในการที่จะเป็นเจ้า ผู้ครองโลก

ด้วยการนำของ โจเซฟ เมงเกเล หัวหน้าแพทย์ของเอาชวิตซ์ จะทำการฉีดสารพิษเข้าที่ลูกนัยส์ตาของคนทดลองเพื่อดูผลว่าสารพิษจะทำปฏิกิริยาอย่างใด การนำศพของชาวยิว มาปะติด เพื่อสร้างมนุษย์ทดลองรายใหม่ หรือการฉีกสารกระตุ้นกล้ามเนื้อเพื่อให้มีกำลังมาก แต่กลับเกิดภาวะการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อฉับพลัน จนเกิดการระเบิดของกล้ามเนื้อซะได้ โดยการออกคำสั่งของ ไฮร์ริก ฮิมเลอร์ ผู้กระตือรือร้นในการรู้ความลับของร่างกายมนุษย์

แต่นอกเหนือจากนี้ ฮิตเลอร์ยังถือว่าเป็นคนที่น่าชื่นชมในเรื่องของการดูแลเอาใจใส่พรรกพวกนาซีเหมือนกัน เพราะแม้วาระสุดท้ายของเขา ฮิมเลอร์ก็ยังสร้างสวนสมุนไพร เพื่อนำไปใช้รักษาทหารนาซีที่ป่วยและบาดเจ็บอยู่ด้วย

จนกระทั่ง ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ.๑๙๔๔ ฮิตเลอร์หวิดที่จะสิ้นชื่อจากการถูกลอบสังหารด้วยผู้นำทหารระดับสูงอย่าง เค้าท์ คลอส วอน สตารฟ เฟนเบอร์ก (Count Claus Von Starffenberg) แต่กลับรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็ทำให้ฮิตเลอร์หมดความเชื่อถือในตัวของทหารนาซีด้วยกันนอกจาก ไฮร์ริก ฮิมเลอร์ ฮิตเลอร์จึงออกคำสั่งให้ฮิมเลอร์ สร้างกองกำลังสำรอง ดำรงตำแหน่ง ผู้นำ *กองทัพสำรอง*(Reserve Army) เป็นการเร่งด่วน


วาระสุดท้ายของอสูรสงครามนาซี


เมื่อกองทัพสัมพันธมิตร ยกพลขึ้นบกในวัน ดี-เดย์จนสามารถเอาชัยเหนือนาซีได้ โดยการประชิดเมืองเบอร์ลิน ฮิตเลอร์ซึ่งล่วงรู้ชะตากรรมของเขาเองจึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับเอวา บราวด์ ในวันที่ ๒๑ เมษายน ๑๙๔๕ และฆ่าตัวตายในเช้าของวันต่อมานั่นเอง

เอวา บราวด์ สตรีคนเดียวที่พิชิตใจท่านผู้นำได้แม้เพียงแค่วันเดียว


การตายของฮิตเลอร์สร้างความสับสนให้กองทัพนาซีนัก และอีกเพียงไม่นานนัก บรรดาผู้นำระดับสูงของเกสตาโปและเอสเอสต้องกระจัดกระจายไป

ไฮน์ริก ฮิมเลอร์ ซึ่งหลบหนีไปได้และปลอมชื่อเป็น ไฮน์ริก ฮิตซิงเกอร์และเข้าไปปะปนกับกลุ่มผู้อพยบ แต่ต่อมาก็ถูกจับได้ และฆ่าตัวตายก่อนที่เขาจะถูกตัดสินในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๑๙๔๕ หลังจากการมรณะกรรมของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้เป็นนายเพียง ๓๔ วันพอดี และร่างของ ฮิมเลอร์ถูกฝังแบบลวกๆในป่าใกล้เมือง ลูนเบิอร์ก (Luneburg) โดยไม่มีป้ายหลุมศพ เหมือนกับศพไร้ญาติอย่างไรอย่างนั้น

สุดท้ายกลับมีเพียงคนเดียวที่รอดไปได้ เขาคือ *อดอล์ฟ ไอค์เมินน์ * ซึ่งหลบหนีการจับกุมตัวถึง ๑๐ กว่าปี ตั้งแต่ปี ๑๙๔๕ โดยที่เขาถูกจับ แต่ก็ถูกปล่อยตัวเพราะเขาอ้างว่าเป็นนักบินในกองทัพของเยอรมัน ทำให้ไม่มีใครสนใจและปล่อยตัวไป
แต่ต่อมา เขาก็ถูกจับขึ้นศาลในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๑๙๖๑ โดยรัฐบาลยิวแจ้งข้อหาไว้ถึง ๑๕ คดีเช่น มีส่วนร่วมในการสังหารชาวยิวถึง ๖ ล้านคน สังหารยิปซีถึง ๑,๕๐๐ คน สั่งสังหารเด็กอีกกว่า ๑๐๐ ศพ ซึ่งแม้เขาจะแก้ต่างอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ตัวได้ ท้ายสุด คืนวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๑๙๖๑ เวลา ๒๓:๕๓ นาที อดอล์ฟ ไอค์เมินน์ ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ในเรือนจำ แรมเลห์ ซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงเทลอาวีฟ เมืองหลวงประเทศอิสราเอล

เป็นการจบฉากอสูรแห่งนาซีทั้งหมดด้วยความตายที่สาสมไหมขอรับ กับความตายของชาวยิวเรือน ๖ ล้านคน กระนั้นก็ตาม ผ่านไป ๖ ทศวรรษแล้ว เรื่องราวการสังหารโหดชาวยิวนั้นจะ ต้องตราตึงไว้กับโลกนี้ตลอดกาล

มีข่าวลือกันมาเมื่อหลายปีก่อนว่า มีการก่อตั้งหน่วย*นีโอ นาซี*ซึ่งว่ากันว่า ผู้ก่อตั้งคือฮิตเลอร์ ที่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เพราะฮิตเลอร์ที่ฆ่าตัวตายพร้อมอีวา บราวด์ คือตัวปลอม และฮิตเลอร์มีตัวปลอมอีกนับสิบๆคน

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากเขายังมีชีวิตอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของโลก เขาจะรับรู้ความแค้นบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะ ชาวยิว ชาวโปล คนผิวดำที่ถูกสังหารขณะที่นาซีเรืองอำนาจ พวกเขาจะคิดอย่างไร เราไม่สามารถรับรู้ได้

สุดท้ายแล้ว อสูรนาซีจักต้องล้มลงเพราะแพ้ภัยตนเอง
ภัยที่ทำให้กับคนอื่น ชาติอื่นจะต้องตราตึงชื่อของเขาว่าตลอดกาล
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แอนตี้ ไครส์แห่งอาณาจักร ไรซ์


ความรู้เพิ่มเติม

อาณาจักรไรซ์ที่ ๓ ตามที่ฮิตเลอร์ว่าไว้ คืออะไร หลายท่านคงสงสัย ข้าน้อยขอตอบให้ขอรับ

อาณาจักรไรซ์ ในโลกนี้ มีมา ๒ อาณาจักรแล้วนั่นคือ

๑ st Reich ก็คือ กรีกของ พระเจ้าอเล็กชานเดอมหาราช

๒ nd Reich คือ โรมันหรือ ออตโตมัน

การที่จะเป็นจักรวรรดิ ได้ก็ต้องมีอะไรเป็นสัญญลักษณ์เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ ดังนั้นฮิตเลอร์เลยบัญชาการให้ สถาปนิกทุกคนในกลุ่มนาซี ทำการออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับจักรวรรวดิใหม่และฮิตเลอร์ตั้งใจจะสร้าง ๓ rd Reich นั่นคือ เยอรมันนั่นเอง แต่กลับล่มสลายไปเร็วเกินคาด ด้วยเนื่องจากอาณาจักรไรซ์จะต้องมีการออกเเบบวัตถุและสถาปัตยากรรมให้คงทน และยืนยาวนับพันๆ ปี แต่นาซีกลับอยู่ได้เพียง ๖ ปีเท่านั้น

หัวหน้าสถาปนิกของนาซีนายนี้มีชื่อว่า อัลแบร์ต ชพีร์ (Albert Speer) ซึ่งเข้าเป็นสมาชิกพรรคนาซีเพราะเชื่อมั่นในตัว ฮิตเลอร์ และ อัลแบร์ต ชพีร์คนนี้ตอนเริ่มเกิดสงครามมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม รับภาระเร่งผลิตยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพทั้งหมด รวมทั้งการเกณฑ์ยิวมาเป็นแรงงานด้วย พอสงครามจบก็เลยโดนข้อหาหนักเข้าไปตอนที่พิจารณาคดีที่นูเรมแบร์ก ถูกขังที่คุก ชพันดู (spandau) อยู่ถึง ๒๐ ปีในฐานะอาชญากรสงคราม แล้วจึงถูกปล่อยตัวมา เขียนหนังสือไว้เล่มนึงด้วยชื่อ Inside The Third Reich หรือ อีกหนึ่งด้านของอาณาจักรไรซ์ที่ ๓


เหรียญกล้าหาญเหรียญแรกของฮิตเลอร์ที่ติดมาตั้งแต่ได้จวบจนวาระสุดท้าย